
วันที่ 22 ธ.ค. 68 พรรคประชาธิปัตย์ เปิดว่าที่ผู้สมัคร สส.กทม. ทั้ง 33 เขต ภายใต้แคมเปญ "สร้างกรุงเทพฯ ฟ้าใหม่ ไปให้ไกลกว่าเดิม" นำโดยนาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค นาย ชัยวุฒิ บรรณวัฒน์ เลขาธิการ นาย สกลธีิ ภัททิยกุล รองหัวหน้าพรรค นาย องอาจ คล้ามไพบูลย์ อดีตรองหัวหน้าพรรค
นายอภิสิทธิ์ ได้กล่าวแสดงวิสัยทัศน์ว่า ตนต้องแสดงความยินดีเป็นครั้งแรกกับบรรดาผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกรุงเทพมหานคร พรรคประชาธิปัตย์ซึ่งได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการบริหารเรียบร้อยแล้ว ที่แสดงความยินดีอยากจะบอกว่าตนอยู่กับพรรคมาเป็นระยะเวลานาน ซึ่งครั้งนี้เป็นครั้งที่มีผู้แสดงเจตจำนงที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น สส.กทมมากที่สุด ในประวัติศาสตร์ และเป็นครั้งแรกที่เราต้องใช้กระบวนการหลายกระบวนการตั้งแต่เปิดโอกาสให้ส่งคลิปแสดงวิสัยทัศน์ แสดงเจตนา ถ่ายทอดความมุ่งมั่น ว่าต้องการมาทำอะไร จนมีการจัดเวทีให้ตอบคำถามหรือพูดถึงประเด็นที่เป็นปัญหาของประเทศ รวมถึงการสัมภาษณ์ของคณะกรรมการสรรหาและจบลงที่ความเห็นของกรรมการสรรหา กับรองหัวหน้าพรรค ก่อนส่งให้คณะกรรมการบริหารพรรคเป็นผู้ตัดสิน ฟังดูแล้วอาจน่าเบื่อมาก แต่มันไม่ใช่เรื่องน่าเบื่อ เพราะตนค่อนข้างมั่นใจว่าพรรคอื่นไม่ได้ทำเช่นนี้ และหากทำแบบพรรคอื่นหลายคนที่นั่งอยู่ในที่นี้คงไม่มีโอกาส เพราะฉะนั้นจุดเริ่มต้นคืออยากให้พวกเราทุกคนภาคภูมิใจ ตนไม่ได้บอกว่าเราเลือกถูกคน เพราะประชาชนจะเป็นผู้ตัดสินใจให้ว่าเราต้องเลือกถูกคนหรือไม่ ซึ่งตนก็แสดงความเห็นใจเพื่อนๆที่สมัครมาพร้อมกันแล้วไม่ได้รับเลือก เพราะบางทีบางครั้งก็เป็นแบบนี้ เพราะ 1 เขต ได้เพียง 1 คน แต่ไม่ได้แปลว่าเขาด้อยหรือไม่ดี แต่สิ่งสำคัญก็คือ เมื่อวันนี้พวกเรา 33 คน สวมเสื้อตัวนี้แล้ว และกำลังจะต้องเข้าสู่สนามการเลือกตั้งกรุงเทพมหานคร
ขณะที่นายอภิสิทธิ์ เน้นย้ำ ภาระกิจว่ากรุงเทพมหานคร ถือเป็นเมืองหลวงและเป็นศูนย์กลางของเกือบทุกสิ่งทุกอย่างในประเทศนี้ ความสำคัญทางเศรษฐกิจความสำคัญในแง่ของระบบการบริหารราชการ ทุกคนทราบดีอยู่แล้ว แต่กรุงเทพฯตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาในประวัติศาสตร์ทางการเมือง ก็เหมือนกับเป็นหัวใจของการเมืองด้วย คือจะเป็นพื้นที่ที่มีลักษณะของการนำกระแสไม่มากก็น้อย หรือบางครั้งถ้าไม่นำกระแสก็สวนกระแส เพราะอยากยืนยันบางสิ่งบางอย่างเช่นหลายครั้งจะเห็นพรรคการเมืองฝ่ายค้านได้รับการสนับสนุนอย่างท่วมท้น ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร
แต่ละคนสมัครเข้ามา อาจจะคิดอยากทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ให้กับเขตของตนเอง แต่หน้าที่สส. คือผู้แทนของปวงชนชาวไทยทั้งประเทศ และพื้นที่อย่างกรุงเทพมหานคร ประชาชนดูจะเข้าใจเรื่องนี้ เพราะที่ผ่านมาแทบจะเรียกได้ว่า เอาเรื่องของพรรคการเมืองเป็นตัวตั้งในการตัดสินใจ เราจึงเห็นว่าผลการเลือกตั้งของกรุงเทพมหานครมักจะไปทางใดทางหนึ่ง มี 30 กว่าเขต หลายยุคหลายสมัยพรรคที่ใหญ่ที่สุดก็กวาดไปทั้งหมด แต่จริงๆไม่ได้แปลว่าได้คะแนนจริงท่วมท้น แต่ตนอยากจะบอกว่า ทุกคนต้องไปแก้ไขปัญหาดูแลพื้นที่
นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวว่า สิ่งที่ต้องตระหนักอยู่ตลอดเวลาคือ เราแต่ละคนต้องแก้ไขปัญหาในพื้นที่ ที่เราลงรับสมัครการเลือกตั้ง แต่สำหรับคนกรุงเทพฯ ก็ยังมองว่าเป็นตัวแทนของพรรคการเมือง และความคิดทางการเมือง ประชาธิปัตย์เรามีโอกาสครองใจคนกรุงเทพฯมาหลายสมัย ชนะแบบท่วมท้นทั้งในการเลือกตั้งสส. และผู้ว่าราชการจังหวัดกรุงเทพมหานคร 2 คน 2 ครั้ง ในระยะเวลาที่ไม่นานมานี้ รวมถึง สก.และ สข.
นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวด้วยว่า ถ้าเชื่อเรื่องดวงไม่รู้ว่าจะเชื่อหรือไม่ เรื่องดวงเรื่องตัวเลข แต่ตนสังเกตว่าการเลือกตั้งปี 19 29 39 ลงท้ายด้วยเลข 9 ประชาธิปัตย์จะชนะ บังเอิญ 49 และ59 เขาไม่ให้เลือก ตนก็ลุ้นอยู่ว่าเขายุบแล้วจะเป็น 68 แต่เป็นปี 69 คะแนนทุกคะแนนต้องได้มาด้วยตัวเอง และคะแนนทุกคะแนนต้องได้มา เพราะการเป็นส่วนหนึ่งของการสนับสนุนของพรรค
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า วันนี้พรรคมีอะไรให้กับสังคม ตนก็ต้องบอกว่า ตนในฐานะคนกรุงเทพฯ ช่วงที่ไม่ได้อยู่ในการเมือง เจอคนกรุงเทพฯ ทุกคนส่ายหน้า เอือม เบื่อ ท้อ แต่ก็ไม่อยากทน รอความหวัง รอบางสิ่งบางอย่างที่จะเป็นความเปลี่ยนแปลงให้หลุดพ้นจากการเมืองที่ไม่มีทางเลือก วันนี้หลังจากที่มีการเปลี่ยนแปลงคณะกรรมการบริหารพรรคมา เป็นระยะเวลา 2 เดือนกว่า เราปักธงชัดเจน ว่าเรากับประชาชนจะไม่ทนต่อไป และสิ่งที่เราต้องการมากที่สุด ก็คือเอาการเมืองสุจริต มาล้างสิ่งต่างๆที่ทำให้คนไทยต้องอึดอัด เรื่องอุดมการณ์ความคิด ความซื่อสัตย์สุจริตยอมรับในกระบวนการประชาธิปไตย อย่ามองว่าเป็นเพียงเรื่องนามธรรม ทุกเรื่องโยงกลับมาสู่ปัญหาที่ใกล้ชิดกับประชาชน เอาง่ายๆเดี๋ยวหาเสียงกรุงเทพฯแข่งขันกันเรื่องรถไฟฟ้า ซึ่งตนก็ยืนยันว่า ระหว่างพรรคการเมืองที่ไม่มีผลประโยชน์แอบแฝงกับพรรคการเมือง ซึ่งต้องติดขัดกับเรื่องผลประโยชน์ที่ทับซ้อน ใครที่จะทำให้ประชาชนได้มีโอกาสขึ้นรถไฟฟ้าในเงื่อนไขที่ดีกว่ากัน รวมไปถึงเรื่องฝุ่นมลพิษ ก็ต้องไปเผชิญกับผู้ที่ฝุ่นมลพิษ การเมืองที่เข้มแข็งและการเมืองที่สุจริตเท่านั้น ที่จะเป็นตัวที่ทำให้คุณภาพชีวิตของประชาชนดีขึ้นมาได้ ไม่นับว่าเที่ยวนี้สิ่งที่ทุกคนพูดตรงกันหมดก็คือกลัวเรื่องทุนเทาเข้ามาครอบงำทุกสิ่งทุกอย่าง ซึ่งหมายความว่ามีคนกลุ่มเล็กๆ ไม่ต้องอยู่ใต้กฎหมาย เพราะใช้เงินซื้อได้ แสวงหาประโยชน์จากโครงการต่างๆของรัฐ แล้วประชาชนจะอยู่ตรงไหน
ฉะนั้นจากวันนี้ไปจนถึงวันเลือกตั้ง พวกเราต้องเป็นกระบอกเสียงของจุดยืนของพรรค และสิ่งที่เราบอกว่าจะไม่ทน นั้นต้องเริ่มต้นที่ตัวเรา หมายความว่าต้องหาเสียงภายใต้กรอบกฎหมาย บนความซื่อสัตย์ สุจริตและ
"สำหรับผม คุณเป็นนักการเมืองที่ดี ไม่ใช่แค่เรื่องกฎหมาย มันมีกฎ มีกติกา และมีมารยาท ขอให้ยึดมั่นในแนวทางที่ถูกต้องสร้างประเพณีวัฒนธรรมทางการเมืองที่ดี ในการลงสมัครรับเลือกตั้งแข่งขันครั้งนี้"
นายอภิสิทธิ์ ยังระบุอีกว่า วันนี้เป็นวันที่พรรคจัดงานนี้ขึ้นมา นอกจากที่จะให้ความรู้จะถือโอกาสเปิดตัวเพื่อให้ประชาชนรู้จักเรามากขึ้น อย่าไปกังวล เพราะพวกเราเดินเข้ามาด้วยความตั้งใจ ไม่มีเส้นสายสักคน หลายคนจึงไม่เป็นที่รู้จัก พร้อมเล่าประสบการณ์ลงสมัครรับเลือกตั้งของตน ว่า ตนเคาะประตูแนะนำตัวเองประชาชนถามว่าผู้สมัครอยู่ไหน นึกว่าตนเป็นอาสาสมัครหาเสียง จนทางทีมงานบอกว่าตนห้ามใส่รองเท้าผ้าใบ ต้องใส่รองเท้าทำงาน เพื่อให้ดูเป็นผู้ใหญ่ วันนี้มีแต่คนบอกให้ใส่รองเท้าผ้าใบ เพื่อจะให้ดูเด็กลง แต่ประเด็นก็คือ เดินเข้าไป อย่าไปกังวล ถ้าเรามีดีมีความตั้งใจที่ดี เข้าหาประชาชน และให้เขาเห็นว่าแม้ว่าหลายคนจะบอกว่าเริ่มต้นใหม่สดจากศูนย์ แต่พรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้เริ่มจากศูนย์ บางเรื่องอาจจะมีจุดอ่อน มีอดีตที่จะถูกโจมตี แต่ความเป็นประชาธิปัตย์ที่คนกรุงเทพฯรับรู้ และเคยไว้วางใจมา ตนยืนยันว่าคณะกรรมการบริหารพรรค นำกลับมาให้เป็นกำลังให้กับทุกคนอย่างเต็มที่ อยากให้ทุกคนมุ่งมั่น ตั้งใจเดินหน้า และประสบความสำเร็จในการทำงาน ไม่ใช่สำหรับพรรค แต่ในการเอาการเมืองสุจริต มาเปลี่ยนแปลงประเทศไทย
ด้านนายสกลธี ระบุว่า ยืนยันว่าทุกคนที่ถูกรับเลือก คนรู้จักเพียง 10-15% อีก 80% เป็นคนที่ตนและกรรมการบริหารพรรคไม่รู้จัก แต่ได้พิจารณากลั่นกรอง จากประวัติและความตั้งใจ ก่อนที่จะแนะนำตัวว่าที่ผู้สมัคร ทั้ง 33 คน
ทั้งนี้ ผู้สมัคร สส.กรุงเทพฯ พรรคประชาธิปัตย์ ทั้ง 33 คน ประกอบด้วย
เขตเลือกตั้งที่ 1 นายพีรวุฒิ พิมพ์สมฤดี
เขตเลือกตั้งที่ 2 ดร.เจษฎา เลิศธนสาร
เขตเลือกตั้งที่ 3 นายอภิมุข ฉันทวานิช
เขตเลือกตั้งที่ 4 นายพงศกร ขวัญเมือง
เขตเลือกตั้งที่ 5 นายนนธนัตถ์ บุนนาค
เขตเลือกตั้งที่ 6 น.ส.ศิริภา อินทวิเชียร
เขตเลือกตั้งที่ 7 นายพงศ์พล เตมีย์
เขตเลือกตั้งที่ 8 นายระพีพัฒน์ สุเมธโชติเมธา
เขตเลือกตั้งที่ 9 น.ส.วิเวียน จุลมนต์
เขตเลือกตั้งที่ 10 ดร.ชัยพร แก้ววาตะ
เขตเลือกตั้งที่ 11 น.ส.รมิดา อินทะแพทย์
เขตเลือกตั้งที่ 12 นางพิมชนก เก่าเจริญ
เขตเลือกตั้งที่ 13 นายภาณุพงศ์ ลักษณวิศิษฐ์
เขตเลือกตั้งที่ 14 รอ.ดร.นพ.พิชาญศักดิ์ บุญมาศ
เขตเลือกตั้งที่ 15 น.ส.ฐิตยากร พรโรจนากูร
เขตเลือกตั้งที่ 16 นายสุนันท์ มีนมณี
เขตเลือกตั้งที่ 17 นายฐิติวัชร์ ดีประเสิรฐวงศ์
เขตเลือกตั้งที่ 18 นายเชิดพันธุ์ เตี่ยไพบูลย์
เขตเลือกตั้งที่ 19 น.ส.กานต์ วนาดรวรวิศาล
เขตเลือกตั้งที่ 20 นายรัฐศักดิ์ สุขยิ่ง
เขตเลือกตั้งที่ 21 ดร.กิตพล เชิดชูกิจกุล
เขตเลือกตั้งที่ 22 นายปรินต์ ทองปุสสะ
เขตเลือกตั้งที่ 23 น.ส.วีร์ ศรีวราธนบูลย์
เขตเลือกตั้งที่ 24 น.ส.มารีญา ฤกษ์ดี
เขตเลือกตั้งที่ 25 นายชยิน พึ่งสาย
เขตเลือกตั้งที่ 26 นายสาโรจน์ ซึ้งไพศาลกุล
เขตเลือกตั้งที่ 27 น.ส.มลฑาทิพย์ ทิพยชนาพัฒน์
เขตเลือกตั้งที่ 28 นายพร้อมพล ธรรมจินดา
เขตเลือกตั้งที่ 29 น.ส.ศิริขวัญ นิลกรณ์
เขตเลือกตั้งที่ 30 นายคณพล พงศ์พิทยา
เขตเลือกตั้งที่ 31 พ.ต.อ.ทศพล โชติคุตร์
เขตเลือกตั้งที่ 32 ดร.วิสวัส ทองธีรภาพ
เขตเลือกตั้งที่ 33 นายเจตน์สฤษดิ์ เลิศธนสาร
Advertisement