
พลตำรวจเอก เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย กล่าวถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ระบุว่า แนวโน้มหลังจากนี้ เชื่อว่าอาจมีการปะทะเกิดขึ้นอีก เนื่องจากสถานการณ์ชายแดนเป็นประเด็นระดับประเทศ หากเปรียบเหมือนบ้านเรากับบ้านเพื่อนบ้าน เมื่อฐานะและความเป็นอยู่แตกต่างกัน บ้านที่ลำบากกว่าย่อมอึดอัดและอยากรุกล้ำเข้ามา แต่ก็ไม่ใช่สงคราม หรือการสู้รบ ที่ถึงขั้นทำร้ายกัน เพราะสุดท้ายต้องดำเนินคดีตามกฎหมาย ทั้งนี้เมื่อเทียบในระดับประเทศ ไม่ว่าจะเป็นความรู้ รายได้ หรือการศึกษา ก็แตกต่างกัน ไทยจึงไม่คิดไปรังแกกัมพูชา
เรื่องดินแดนถือเป็นอธิปไตยของประเทศ ไม่สามารถยอมเสียได้แม้เพียงตารางนิ้วเดียว ต่อให้มีการสูญเสียหรือทหารบาดเจ็บก็ต้องรักษาดินแดนไว้ก่อน ดังนั้นหากต้องป้องกันไม่ให้ถูกรุกราน หรือแม้แต่เป็นฝ่ายรุกเพื่อให้ทุกอย่างยุติ ก็จำเป็นต้องพิจารณา เช่น เมื่อครั้งมีปัญหาในช่วงวันที่ 24–28 กรกฎาคม ตนเคยเสนอให้ยึดกรุงพนมเปญ เพราะประเมินว่าไทยมีกำลังมากกว่า และหากตัดสินใจเด็ดขาด ทุกอย่างก็จะยุติลง
พลตำรวจเอก เสรีพิศุทธ์ ยังกล่าวถึงสถานการณ์ปัจจุบันว่า ฝั่งกัมพูชาต้องพึ่งพาไทยในหลายด้าน จึงมองว่า ไทยไม่จำเป็นต้องยืดเยื้อการเจรจา โดยเฉพาะการกลับไปพูดคุยผ่านมาเลเซีย ซึ่งเป็นประเทศที่ไม่เกี่ยวข้อง พร้อมมองว่า การตัดสินใจล่าช้า อาจมีผลประโยชน์บางอย่างอยู่เบื้องหลัง
สำหรับกรณีที่ “บิ๊กเล็ก” ไฟเขียวให้ตอบโต้หากกัมพูชาล้ำอธิปไตยสามารถตอบโต้ได้ พลตำรวจเอก เสรีพิศุทธ์ มองว่า เป็นการตัดสินใจที่ช้าเกินไป ควรทำไปตั้งนานแล้ว ส่วนประเด็นที่ถูกมองว่าเป็นการจัดฉาก AOT หรือการโยนประทัดอ้างเป็นเสียงปืนฝั่งไทยนั้น ระบุว่าอย่าไปสนใจเลย เพราะตนก็บอกตั้งแต่แรกว่า ให้ไปยึดกรุงพนมเปญตั้งนานแต่ไม่ยึด ลูกเล่นอะไรต่างๆก็มีแต่ไม่รู้จักใช้ ย้ำเราต้องเล่นนอกเกมบ้าง
พลตำรวจเอก เสรีพิศุทธ์ ยังกล่าวทิ้งท้ายว่า กัมพูชาไม่สามารถสู้ศักยภาพไทยได้ แต่การเมืองกัมพูชามีความต่อเนื่องและดีกว่า เนื่องจากผู้นำอย่าง ฮุน เซน และ ฮุน มาเนต ดำรงอำนาจมายาวนานกว่า 40 ปี ขณะที่ไทยมีการเปลี่ยนผู้นำบ่อย หลายคนอยู่ไม่ถึงปี รวมถึงนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีคนล่าสุด ก็มีเวลาทำงานเหลือเพียงสองเดือน และกำลังเผชิญเสียงวิจารณ์จำนวนมาก เนื่องจากประสบการณ์ยังไม่มากพอ
Advertisement