
วันนี้ (วันจันทร์ที่ 10 พฤศจิกายน 2568) เวลา 15.00 น. ณ ท่าอากาศยานแม่สอด อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ภายหลังการหารือกับเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอินเดียประจำประเทศไทย นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้สังเกตการณ์การส่งกลับบุคคลต่างชาติ (สัญชาติอินเดีย) จำนวน 197 ราย โดยสารเครื่องบินของกองทัพอากาศอินเดียกลับประเทศ
ก่อนตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ และชมนิทรรศการป้องกันและปราบปรามสแกมเมอร์ผ่านระบบสตาร์ลิงค์ โดยมี พลตำรวจโท กิติศักดิ์ ดุรงควิบูลย์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 ให้การบรรยายสรุป
จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้ร่วมรับฟังรายงานสถานการณ์การบริหารจัดการบุคคลชาวต่างชาติที่ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีได้รับฟังการบรรยายจาก
- พลโท วรเทพ บุญญะ แม่ทัพภาคที่ 3 รายงานสถานการณ์ความมั่นคงตามแนวชายแดนที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมข้ามชาติ โดยรายงานว่าปัจจุบันได้ส่งตัวชาวต่างชาติที่ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายกลับประเทศต้นทางแล้ว 9,300 กว่าราย และมีการประสานการดำเนินการเพื่อให้ความช่วยเหลือเหยื่อขบวนการหลอกลวงกับมิตรประเทศอย่างใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นจีน เมียนมา และอินเดีย นอกจากนี้ เหตุการณ์ใน KK Park ตั้งแต่ 22 ต.ค. 68 ที่ผ่านมา ทำให้มีการลักลอบข้ามแดนมาไทยมายิ่งขึ้น อย่างไรก็ดี หน่วยงานด้านความมั่นคงได้บังคับใช้มาตรคัดกรองที่เข้มข้นยิ่งขึ้น ทั้งยังมีการตรวจสอบโรงเรียนที่พัก และการเดินทางเข้า-ออกพื้นที่บริเวณชายแดน เพื่อสกัดกั้นการข้ามแดนที่ผิดกฎหมาย
- นายสวนิต สุริยกุล ณ อยุธยา รองผู้ว่าราชการจังหวัดตาก รักษาราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดตาก รายงานการบริหารจัดการสถานการณ์ผ่านศูนย์สั่งการชายแดนไทย–เมียนมา โดย ได้สรุปการบริหาร สถานการณ์บุคคลต่างชาติหลบเข้าเมือง โดยดำเนินการคัดกรองตามกฎหมายให้เร็วที่สุด และยึดหลักสิทธิมนุษยชน โดยจังหวัดมีการทำงานเป็นทีมร่วมกับทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง กำนัน ผู้ใหญ่บ้านทำให้การทำงานรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
- พลตำรวจโท กิติศักดิ์ ดุรงควิบูลย์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 รายงานการปราบปรามคอลเซ็นเตอร์แนวชายแดน ที่มีการบูรณาการการทำงานร่วมกับศูนย์สั่งการชายแดนและประสานกับสิ่งที่เกี่ยวข้องทั้งหมด โดยมีมาตรการเชิงรุก เช่น การวางกำลังตามเส้นทางปากเขา ตรวจสายไฟเบอร์ออปติก โดยใช้โดรนบินสูงตรวจสอบ สัญญาณเสา โทรศัพท์เป็นต้น
- พลตำรวจโท ภาณุมาศ บุญญลักษม์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รายงานการตรวจสอบข้อมูลคนต่างด้าวและการส่งกลับออกนอกประเทศ ได้รายงานสถานะการควบคุมผู้ต้องการรอส่งกลับในความรับผิดชอบของ ตม.จังหวัดตาก รวมถึงการตรวจสอบประวัติผู้ต้องสงสัยที่มีประวัติเข้า-ออก ชายแดนบ่อยครั้งโดยใช้ระบบ biometric
ภายหลังการรับฟังรายงาน นายกรัฐมนตรีได้มอบนโยบายแก่ผู้ปฏิบัติหน้าที่ โดยขอบคุณทุกหน่วยงานที่ร่วมกันดูแลสถานการณ์ตามแนวชายแดน และเน้นย้ำว่าการลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายและการก่ออาชญากรรมข้ามชาติ เป็นภัยคุกคามที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงทั้งต่อความมั่นคง เศรษฐกิจ และความปลอดภัยของประชาชน
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า “สิ่งที่เรากำลังเผชิญอยู่ ไม่ใช่ปัญหาของไทยประเทศเดียว แต่เป็นภัยระดับโลก ทั้งอาชญากรรมข้ามชาติ การค้ามนุษย์ และการหลอกลวงออนไลน์ หรือ ‘สแกมเมอร์’ ที่สร้างความเสียหายร้ายแรงต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนทั่วโลก รัฐบาลไทยจะไม่ยอมให้ประเทศของเราเป็นฐานหรือทางผ่านของอาชญากรอีกต่อไป”
นายกรัฐมนตรีระบุว่า รัฐบาลได้ดำเนินการเชิงรุกหลายด้าน อาทิ การจัดตั้ง “บอร์ดปราบสแกมเมอร์แห่งชาติ” เพื่อประสานความร่วมมือกับนานาประเทศในลักษณะ “Global Team” การเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมนานาชาติว่าด้วยการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ และล่าสุด มีการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่าง 15 หน่วยงานของไทย เพื่อร่วมกัน “ประกาศสงครามกับสแกมเมอร์” และอาชญากรรมออนไลน์ทุกรูปแบบ ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการขับเคลื่อนในระดับ “วาระแห่งชาติ”
นายกรัฐมนตรีสั่งการให้ทุกหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายอย่างเด็ดขาด บูรณาการข้อมูลข่าวกรองและการสืบสวนให้เป็นเอกภาพ พร้อมยึดและอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมทันที เพื่อ “ตัดเส้นทางการเงิน” ไม่ให้ประเทศไทยถูกใช้เป็นแหล่งฟอกเงินอีกต่อไป
ในส่วนของกระทรวงมหาดไทย นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้ดำเนินมาตรการ 9 ข้อเร่งด่วน ได้แก่
1. ผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอจัดทำแผนศึกษาปัญหาในพื้นที่
2. จัดตั้ง “ชุดปฏิบัติการพิเศษ” แก้ไขอาชญากรรมเทคโนโลยี
3. บูรณาการทุกฝ่ายร่วมสกัดภัยไซเบอร์
4. เข้มงวดการรักษาความสงบเรียบร้อยของชุดปฏิบัติการ
5. ให้ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดและอำเภอเป็นศูนย์ประสานช่วยเหลือผู้เสียหาย
6. ใช้กลไกกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และชรบ. เฝ้าระวังภัยในชุมชน
7. เข้มงวดจุดผ่านแดน ตรวจสอบบุคคลที่มีพฤติกรรมเสี่ยง
8. ดำเนินคดีกับผู้ถือสัญชาติไทยที่ร่วมกระทำผิด
9. ส่งเสริมความรู้เท่าทันภัยดิจิทัลให้ประชาชน
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ใช้มาตรการที่เข้มงวดมากขึ้นในการคัดกรองชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศ เพื่อป้องกันไม่ให้ใช้ไทยเป็นประเทศทางผ่านด้วย
ในตอนท้ายนายกรัฐมนตรียังฝากให้ทหาร จังหวัด ฝ่ายปกครอง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามสถานการณ์น้ำท่วมอย่างใกล้ชิด หามาตรการการเพื่อป้องกันน้ำท่วมเชิงรุก และให้ความช่วยเหลือและดูแลประชาชนในพื้นที่ให้ทันท่วงที หากเกิดเหตุ
นายกรัฐมนตรีกล่าวย้ำว่า “รัฐบาลจะสนับสนุนทุกหน่วยงานอย่างเต็มที่ ขอให้ทุกคนไม่นิ่งดูดายต่อช่องโหว่หรือความบกพร่องใด ๆ ในระบบ และเสนอแนวทางแก้ไขอย่างต่อเนื่อง เพื่อร่วมกันปกป้องประเทศจากภัยสแกมเมอร์ให้ได้อย่างสิ้นเชิง”
นายกรัฐมนตรีได้ชื่นชมและให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเสียสละและเข้มแข็ง พร้อมเรียกร้องให้ทุกหน่วยงานร่วมมือกันผลักดันนโยบายนี้ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว เพื่อสร้างอนาคตที่มั่นคง ปลอดภัย และยั่งยืนให้กับประชาชนชาวไทย
ภายหลังการบรรยายสรุป นายกรัฐมนตรีได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนก่อนเดินทางกลับ
Advertisement