
วันที่ 10 พ.ย. 2568 เวลา 16.00 น.นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนภายหลังการตรวจติดตามการปฏิบัติหน้าที่ส่งกลับบุคคลต่างชาติ ที่ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ณ ท่าอากาศยานนานาชาติแม่สอด อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก โดยย้ำว่า รัฐบาลมีนโยบายชัดเจนในการเร่งรัดการส่งกลับผู้ลักลอบเข้าเมืองให้กลับประเทศต้นทางโดยเร็วที่สุด เพื่อไม่ให้ประเทศไทยต้องแบกรับภาระด้านงบประมาณและบุคลากรในการดูแลผู้ต้องหากลุ่มนี้เป็นเวลานาน
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การดำเนินการทั้งหมดเป็นไปตามมาตรการทางกฎหมายและทางการทูต โดยไทยได้รับความร่วมมืออย่างดีจากประเทศต้นทางในการรับตัวผู้ต้องหากลับไปดำเนินคดีต่อในประเทศของตน ซึ่งจะช่วยลดภาระด้านค่าใช้จ่ายของรัฐ เช่น ค่าอาหาร ค่าควบคุมตัว ค่าน้ำค่าไฟ และบุคลากรที่ต้องปฏิบัติหน้าที่ดูแลในระหว่างถูกคุมขัง
นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในพื้นที่จังหวัดตากมีผู้ต้องหาที่ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายเกือบหนึ่งพันคน ซึ่งส่วนใหญ่หนีความรุนแรงจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามา โดยไทยได้หารือและประสานกับเอกอัครราชทูตอินเดียประจำประเทศไทย เพื่อให้รัฐบาลอินเดียรับตัวผู้ต้องหาชาวอินเดียกลับไปดำเนินคดีตามกระบวนการยุติธรรมของตน ซึ่งถือเป็นความร่วมมือที่เกิดผลเป็นรูปธรรม และไทยมีแนวทางที่จะดำเนินการในลักษณะเดียวกันกับประเทศอื่น ๆ กว่า 20 ประเทศ
นายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า ได้สั่งการให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพิ่มความเข้มงวดในการคัดกรองบุคคลที่เดินทางเข้าประเทศ โดยเฉพาะผู้ที่ไม่ได้เข้ามาท่องเที่ยวหรือประกอบธุรกิจที่ถูกกฎหมาย เพื่อป้องกันการใช้ประเทศไทยเป็นช่องทางผ่านหรือฐานปฏิบัติการของกลุ่มอาชญากรรมข้ามชาติ เช่น กลุ่มสแกมเมอร์ หรือผู้ค้ามนุษย์ ซึ่งบางส่วนหลบหนีการปราบปรามในประเทศเพื่อนบ้านแล้วกลับเข้ามาในไทย
“เราไม่ใช่ที่ให้เขามาพำนักพักพิง ถึงแม้จะอยู่ในเรือนจำ เราก็ยังต้องเสียค่าใช้จ่าย ดังนั้น เราจึงต้องเร่งผลักดันผู้ลักลอบเข้าเมืองออกไปให้เร็วที่สุด” นายกรัฐมนตรีกล่าว
นายกรัฐมนตรี ระบุด้วยว่า ได้มอบแนวทางให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปใช้กับประเทศอื่น ๆ โดยเฉพาะในกรณีที่ประเทศต้นทางไม่มีเที่ยวบินมารับตัวผู้ต้องหา หากคำนวณค่าใช้จ่ายในการควบคุมตัวและดูแลระยะยาวแล้วสูงกว่าค่าตั๋วเครื่องบิน ควรพิจารณาส่งกลับโดยเร็ว พร้อมยืนยันว่า ไทยจะใช้ทุกมาตรการตามกฎหมาย รวมถึงการเนรเทศเพื่อให้ผู้กระทำผิดกลับประเทศต้นทางโดยเร็วที่สุด
นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า ปัจจุบันรัฐบาลให้ความสำคัญกับการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ อาชญากรรมทางเทคโนโลยี และขบวนการค้ามนุษย์ ซึ่งถือเป็นวาระแห่งชาติ โดยมีการบูรณาการทำงานร่วมกันระหว่างทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งในด้านการสืบสวน ติดตามเส้นทางการเงิน การฟอกเงิน การยึดและอายัดทรัพย์ เพื่อสกัดกั้นเครือข่ายอาชญากรรมให้ได้ผลเป็นรูปธรรม
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ยังได้หารือกับเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ต่อมาตรการ “3 ตัด” ได้แก่ ตัดไฟ ตัดเชื้อเพลิง และตัดสัญญาณ ในพื้นที่ชายแดนที่เป็นแหล่งรวมของขบวนการค้ามนุษย์และอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ พร้อมกำชับให้ศุลกากรเข้มงวดไม่ให้สินค้าหรืออุปกรณ์ที่ใช้กระทำความผิดลักลอบเข้าประเทศ
นายกรัฐมนตรี กล่าวในช่วงท้ายว่า ปัญหาการลักลอบเข้าเมืองและอาชญากรรมข้ามชาติเป็นเรื่องซับซ้อน มีเครือข่ายกว้างขวางและใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เช่น การใช้ Starlink หรือช่องทางธรรมชาติบริเวณลำน้ำโขงในการลักลอบเข้าประเทศ รัฐบาลจึงต้องดำเนินมาตรการเชิงรุกอย่างต่อเนื่อง โดยย้ำให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำงานอย่างบูรณาการเพื่อปกป้องความมั่นคงของประเทศและความปลอดภัยของประชาชนไทย
Advertisement