
จากกรณี กองทัพภาคที่2 รายงานสถานการณ์เมื่อคืนวันที่ 28 ธ.ค. 68 ว่า ได้มีการตรวจพบอากาศยานไร้คนขับ (UAV) บินจากฝั่งกัมพูชาล้ำเข้ามาในเขตอธิปไตยของประเทศไทยเป็นจำนวนมากกว่า 250 ลำ โดยพบการเคลื่อนไหวอย่างหนาแน่นในพื้นที่ช่องบก ช่องอานม้า เขาสัตตะโสม ซำแต โดนตวล ช่องกร่าง ปราสาทตาเมือนธม และช่องสายตะกู ซึ่งการกระทำดังกล่าวเข้าข่ายเป็นการยั่วยุ และละเมิดมาตรการลดระดับความตึงเครียด อันเป็นการไม่สอดคล้องกับถ้อยแถลงร่วม (Joint Statement) จากผลการประชุม GBC เมื่อวันที่ 27 ธ.ค. 68 ซึ่งทั้งสองฝ่ายได้ตกลงร่วมกันไว้ก่อนหน้านี้ ตามที่มีการนำเสนอข่าวไปก่อนหน้านี้
ต่อมาวันที่ 30 ธ.ค. 68 กระทรวงกลาโหมของประเทศกัมพูชา ได้ออกประกาศ เรื่อง การห้ามใช้เครื่องบินไร้คนขับ (โดรน) ทุกประเภท ในราชอาณาจักรกัมพูชาเพื่อสร้างหลักประกันด้านความมั่นคง ความปลอดภัย ความเป็นระเบียบเรียบร้อย และความสงบสุขของประชาชน รวมถึงความเชื่อมั่นของกองทัพกัมพูชาในสถานการณ์ที่ยากลำบากนี้ กระทรวงกลาโหมขอประกาศคำแนะนำดังต่อไปนี้
สั่งห้ามใช้เครื่องบินไร้คนขับ (โดรน) ทุกประเภทโดยไม่ได้รับอนุญาต ในเขตราชธานี (พนมเปญ) และจังหวัดต่างๆ โดยเฉพาะในเขตจังหวัดที่ติดชายแดน ได้แก่ จังหวัดเกาะกง, จังหวัดโพธิสัตว์, จังหวัดพระตะบอง, จังหวัดบันเตียเมียนเจย, จังหวัดอุดรมีชัย, จังหวัดพระวิหาร และจังหวัดไพลิน
บุคคลใดที่ฝ่าฝืนใช้เครื่องบินไร้คนขับ (โดรน) โดยไม่ได้รับอนุญาตจากกระทรวงกลาโหม จะต้องรับโทษตามกฎหมายที่กำหนด
กองบัญชาการกองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ โดยความร่วมมือกับกองบัญชาการทหารราบ เจ้าหน้าที่ราชธานี จังหวัด และเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น ต้องเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบการใช้โดรน เพื่อรักษาความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อย ในกรณีจำเป็น หน่วยงานสามารถดำเนินการตอบโต้ รวมถึงการใช้ ระบบป้องกันโดรน (Anti-Drone System)
เมื่อได้รับประกาศคำแนะนำนี้ ทุกหน่วยงานภายใต้สังกัดกระทรวงกลาโหม กองบัญชาการกองทัพกัมพูชา และหน่วยงานปกครองส่วนราชธานี-จังหวัด ต้องเผยแพร่ให้กว้างขวางและร่วมมือกันปฏิบัติอย่างเคร่งครัดและมีประสิทธิภาพสูงสุด
ลงชื่อ พล.อ.เตีย เซยหา (Tea Seiha) รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหมกัมพูชา
Advertisement