
นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการแถลงข่าวผลการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี United Thailand Against Scammers รวมพลังคนไทยต้านภัยสแกมเมอร์ และมอบนโยบายการปราบปรามการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ณ ห้องประชุมแจ้งยอดสุข อาคารศูนย์ฝึกอบรมพัฒนาบุคลากรและสวัสดิการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ โดยมี นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ นายนฤชา โฆษาศรีวิไลซ์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย ผู้บังคับบัญชาของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ภาคีเครือข่าย และสื่อมวลชน ร่วมรับฟัง
เมื่อเดินทางถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติ นายอนุทิน นำผู้บริหารหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยืนสงบนิ่งน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณเบื้องหน้าพระฉายาลักษณ์ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง แล้วเดินเข้าสู่ War room จำลอง รับชมสาธิตการปฏิบัติงานแบบ Real Time โดยจำลองเหตุการณ์การรับแจ้งความร้องทุกข์จากศูนย์ AOC ซึ่งผู้เสียหายถูกหลอกให้เปิดร้านค้าขายสินค้าออนไลน์บนFacebook แล้วดึงเข้ากลุ่ม Line โดยให้เปิดร้านค้าเพื่อโอนเงินชำระค่าสินค้าไป 9 บัญชี วงเงินความเสียหาย 700,000 บาท โดยได้ประสานผู้ให้บริการ Facebook LINE เว็บไซต์เพื่อขอข้อมูลและดำเนินการสืบสวนเพื่อจับกุมผู้ร่วมขบวนการคนอื่น พร้อมปิดกั้นเพื่อไม่ให้เว็บไซต์และแพลตฟอร์มถูกใช้หลอกลวงประชาชนต่อไปได้ รวมทั้งประสานธนาคารผู้เกี่ยวข้องและผู้ให้บริการ E-wallet ทั้งหมดเร่งอายัด
โดยไม่สามารถอายัดได้ทัน 1 บัญชี เพราะคนร้ายได้ไปกดเงินที่ตู้ ATM ซึ่งธนาคารได้ทำการตรวจสอบกล้องจากตู้พบคนร้ายพยายามปกปิดใบหน้าและปิดบังตัวตน แต่เครื่องมือวิเคราะห์ใบหน้าทำให้ทราบชื่อคนร้าย และพบเบอร์โทรศัพท์ต้องสงสัยทำการตรวจสอบพิกัดขึ้นที่บริเวณตลาดไฟฟ้าเสม็ด อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี จึงได้ประสาน สภ.เสม็ด ไล่กล้องวงจรปิดและพบพยานหลักฐานทำการจับกุมกลุ่มคนร้ายได้ทั้งหมด โดยในส่วนของคนร้ายชาวต่างชาติได้จัดส่งข้อมูลไปยังระบบของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ในด้านกฎหมาย 3 ฐานความผิด คือ 1. ฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชนและความผิดฐานนำข้อมูลเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ 2. ฐานอาชญากรรมข้ามชาติ และ 3. ความผิดมูลฐานตามกฎหมายฟอกเงิน นอกจากนี้ ได้มีการประสานการทำงานกับตำรวจสากลและ FBI พร้อมขอหมายแดงส่งผู้ร้ายข้ามแดน ควบคู๋การสร้างความตระหนักรู้ผ่าน Contents เตือนภัยให้กับประชาชน โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะประมวลข้อมูลทุกวันในเวลา 09.00 น.
จากนั้น นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย พร้อมด้วยปลัดกระทรวงมหาดไทย และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ร่วมมอบเช็คเงินสดให้กับผู้เสียหายตาม “โครงการ Money Cash Back” ซึ่งเป็นเงินที่ผู้เสียหายถูกหลอกลวง รวม 33 ราย เป็นเงิน 15 ล้านบาท โดยได้รับความร่วมมืออย่างดีจากสถาบันการเงินและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งที่ผ่านมาสามารถติดตามเงินคืนให้กับผู้เสียหายรวม 312 ล้านบาท และเยี่ยมชมนิทรรศการผลการปฏิบัติภาพรวมสำนักงานตำรวจแห่งชาติและภาคีเครือข่าย อาทิ AIS True Money Line Corporation รวมถึงรับทราบแอปพลิเคชั่น Cyber Check ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสแกนวงจรสแกมเมอร์ผ่านแพลตฟอร์มหลักในประเทศและต่างประเทศ โดยในวันนี้ ผศ.ดร.ณัฐพร กาญจนภูมิ คณบดีคณะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ได้มอบดอกไม้เพื่อเป็นการขอบคุณนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยที่ได้เดินหน้านโยบายปราบปรามสแกมเมอร์อย่างเข้มข้น ส่งผลให้ล่าสุด กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 ได้ช่วยเหลือนักศึกษาชั้นปีที่ 3 คณะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร มหาวิทยาลัยศิลปากร ซึ่งถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกลวงให้โอนเงิน 830,000 บาท โดยสามารถอายัดเงินได้ทันและระงับไม่ให้น้องนักศึกษาโอนเงินเพิ่มด้วย และคุณฮาร์ท สุทธิพงศ์ ทัดพิทักษ์กุล เป็นตัวแทนประชาชนที่เดือดร้อนจากแก๊งต้มตุ๋นกลวงมิจฉาชีพ ร้องเพลงขอบคุณรัฐบาลและสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ทำงานอย่างเข้มแข็งเชิงรุกจนกระทั่งได้ค่าเสียหายมาชดเชยให้กับประชาชนผู้ได้รับความเสียหาย ถือเป็นผลงานชิ้นสำคัญของรัฐบาลและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
นายอนุทิน กล่าวว่า เราต้องเร่งทำให้ความเดือดร้อนจากภัยสแกมเมอร์เหล่านี้สูญสิ้นไปจากประเทศไทยให้ได้ เพราะเป็นเรื่องที่ส่งผลให้เกิดความเดือดร้อนทั้งเรื่องเงินและความเชื่อมั่นประชาชน ระบบเศรษฐกิจ การค้า การลงทุนของประเทศ เป็นตัวชี้วัดผลงานรัฐบาล จึงเป็นที่มาของการประกาศให้ “การปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะแก๊งคอลเซ็นเตอร์และขบวนการสแกมเมอร์” เป็น “วาระแห่งชาติ” โดยได้มีการแต่งตั้ง “คณะกรรมการอำนวยการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี” มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และมีการลงนามบันทึกความเข้าใจ 15 หน่วยงานหลักทั้งภาครัฐ เอกชน และสถาบันการเงิน เพื่อดอุดช่องโหว่และตัดเส้นทางการเงินของผู้กระทำผิด เปลี่ยนจาก “การตั้งรับเป็นการรุกไล่” และผลงานเจ้าหน้าที่ โดยเฉพาะสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สะท้อนความก้าวหน้าอย่างชัดเจนว่า ที่ผ่านมาได้อายัดทรัพย์เป็นจำนวนเงินหลายหมื่นล้านบาท เพิกถอนวีซ่า และผลักดันชาวต่างชาติออกนอกประเทศ กระทรวงมหาดไทยได้เพิกถอนสัญชาติ และกำจัดบัญชีม้าเป็นจำนวนมาก
“ในฐานะนายกรัฐมนตรี ตนทราบดีว่าพี่น้องประชาชนยังมีคำถามและตั้งข้อสงสัยว่า ในเครือข่ายนี้มีคนของรัฐเข้าไปเกี่ยวข้องหรือไม่ จึงขอย้ำว่า “รัฐบาลไม่เคยนิ่งนอนใจและรับฟังเสียงสะท้อนที่เกิดขึ้นพร้อมกำชับผู้บังคับบัญชาทุกหน่วยงานทำงานอย่างเต็มที่ในภารกิจนี้” และหากประชาชนหรือภาคีเครือข่ายท่านใดมีข้อมูลว่ามีนักการเมืองหรือเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปพัวพัน ขอให้ส่งข้อมูลให้ผู้บังคับบัญชาหน่วยงานนั้นที่มีอำนาจหน้าที่ดำเนินการโดยตรง ทั้งนี้ นายกมนตรีในฐานะหัวหน้ารัฐบาลและเป็นผู้ต้องรับผิดชอบสูงสุด ขอยืนยันว่า “เรื่องนี้เคลียร์ไม่ได้ ไม่มีการเคลียร์” เรื่องนี้ทำงานโดยดูจากพฤติกรรม พฤติการณ์และความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนเป็นสำคัญ ไม่ดูชื่อ ถ้าชื่อคนไหนโผล่ออกมา คนนั้นต้องถูกดำเนินคดีอย่างเฉียบขาด เด็ดขาด ไม่มีข้อยกเว้นทั้งสิ้น และรัฐบาลจะคุ้มครองผู้แจ้งเบาะแสอย่างเต็มที่ โดยขอให้แจ้งในช่องทางที่มีอำนาจหน้าที่อย่างไม่รอช้า เพื่อเจ้าหน้าที่ดำเนินการอย่างทันทวงที และถูกต้องตามกฎหมาย”
นายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า เราต้องรวมพลังกันบอกเล่าเรื่องราว ให้ความรู้ความเข้าใจสังคมเกี่ยวกับกลเม็ดการล่อลวงต่าง ๆ ของสแกมเมอร์ เพราะมันใช้ความไม่รู้ ความไม่เข้าใจของเราเป็นอาวุธ และสิ่งที่ดีที่สุด คือ ทำให้ประชาชนรู้เท่าทัน วันนี้ ตนจึงขอให้พี่น้องประชาชนได้ยึดหลักเพียง 3 ข้อ “ไม่เชื่อ ไม่รีบ และไม่โอน” ซึ่งจะช่วยให้เรามีสติพิจารณารอบคอบและป้องกันการถูกล่อลวงได้ โดยสังเกตง่าย ๆ หากผู้แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่หน่วยงานต่าง ๆ มาส่ง Link ให้กรอกข้อมูลยืนยันตัวตน ให้สันนิษฐานก่อนว่า ท่านเจอมิจฉาชีพแล้ว เมื่อเขาได้ข้อมูลยืนยันตัวตนของท่าน เขาจะสามารถเขาแอปธนาคารยืนยันตัวตนได้ นี่เป็นเพียงหนึ่งตัวอย่าง จึงขอให้รับฟังข้อมูลข่าวสารและช่วยเตือนคนใกล้ตัวเพื่อจะได้พ้นภัยร้ายจากสังคมนี้ได้ โดยรัฐบาลจะเดินหน้ารณรงค์ในทุกพื้นที่ และดำเนินการในทุกวิถีทาง ทุกช่องทาง เพื่อคนไทยทุกวัยรู้ทันสแกมเมอร์และปกป้องตนเองได้ เราจะดำเนินการต่อไปจนกว่าอาชญากรรมเหล่านี้ไม่สามารถทำลายพี่น้องประชาชนเราได้
“สิ่งที่ประเทศไทยทำให้เห็นอย่างชัดเจน คือ เราเป็นศัตรูกับสแกมเมอร์ดีที่สุด เพราะเราไม่มีศูนย์กลาง ไม่มีสแกมเมอร์ในพื้นที่ประเทศเรา มันอยู่รอบประเทศของเราทั้งนั้น ด้วยเพราะการบังคับใช้กฎหมายและการปกครองไม่เหมือนกัน “ประเทศไทยไม่มีสแกมเมอร์” ผู้รักษากฎหมายของประเทศไทยไม่ยินยอมให้เกิดการดำเนินการของสแกมเมอร์อย่างเป็นรูปธรรมได้ แต่สิ่งที่เราทำ คือ เราต้องใช้การแสวงหาความร่วมมือต่าง ๆ การกดดันถ้ามีความจำเป็น เพื่อให้สแกมเมอร์เหล่านี้ อาชญากรเหล่านี้หมดไป รัฐบาลยินดีสนับสนุนทุกวิถีทาง และขอบพระคุณเครือข่ายจากนานานชาติให้ความร่วมมือกับพวกเราเป็นอย่างดี โดยเฉพาะการขับเคลื่อนของภาครัฐ รวมไปถึงภาคเอกชนผู้ให้บริการสัญญาณโทรคมนาคมต่าง ๆ ซึ่งเป็นช่องทางสำคัญของการให้สแกมเมอร์เหล่านี้ดำเนินการผิดกฎหมาย เราคงจะต้องขอความร่วมมือไปยังช่องทางทาง Social Media ต่าง ๆ ทั้งไลน์ เฟสบุ๊ก ติ๊กต็อก วอดสแอพ และแอปอื่น ๆ เพราะสิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่สแกมเมอร์ คือสิ่งที่อาชญากรเหล่านี้ใช้เป็นช่องทางติดต่อประชาชนผู้เคราะห์ร้าย เราจะปิดช่องทางอย่างเต็มที่ และตนมั่นใจเหลือเกินว่า “ภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ ไม่มีอะไรที่ตำรวจไทยทำไม่ได้ ในสิ่งที่ถูก ที่ชอบ ที่ควร และถูกต้องด้วยกฎหมาย” ทุกคนทำงานอย่างเต็มที่ภายใต้ความกดดันและความหวังของประชาชน เพื่อภารกิจ เพื่อประชาชนของเราได้บรรลุเป้าหมายเป็นอย่างดี ก่อเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติ” นายอนุทิน กล่าวในช่วงท้าย
ด้านพล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า สถานการณ์ Cyber Scammer มีความรุนแรงจนส่งผลกระทบไปทั่วโลก ซึ่งจากสถิติ Global Anti-Scam Alliance (GASA) พบการโจมตีนานาประเทศทั่วโลก มูลค่าสูงถึง 1.03 trillion USD หรือคิดเป็น 1 ล้านล้านบาท ภูมิภาคเอเชียได้รับผลกระทบมากที่สุด 688,000,000,000 USD โดยประเทศจีนโดนหนักสุด อาทิ ที่เมืองเล่าก์ก่าย (Laukkaing) พบมีอาคารสูงทันสมัยเป็นฐานการทำงานของสแกมเมอร์มากถึง 6 อาคาร ซึ่งมีคนร้ายถูกจับกุม 5,000 กว่าคน ในจำนวนนั้นเป็นคนไทยประมาณ 500 คน ที่ได้ได้ถูกส่งตัวกลับมายังประเทศไทยแล้ว หรือที่สหรัฐอเมริกาได้รับผลกระทบ 12,500,000,000 USD ซึ่งเป็นความเสียหายรุนแรง รวมถึงประเทศสิงคโปร์ ได้รับผลกระทบมากถึง 1,200,000,000 บาท
ในส่วนของประเทศไทยตลอด 3 ปี มีสถิติสะสมประมาณ 1,000,000 เคส ความเสียหายมากกว่า 100,000 ล้านบาท มีรับแจ้งเหตุใหม่ 300,000 เคส ความเสียหาย 20,000 ล้านบาท และในแต่ละวันจะมีเหตุใหม่ วันละมากกว่า 3,000 เรื่อง ความเสียหายวันละกว่า 70,000,000 บาท (+,-) โดยการแก้ปัญหาเหล่านี้ต้องแก้จากต้นเหตุ เช่น การเจรจาหรือกดดันประเทศที่เป็นฐานแกมเมอร์ด้วยวิธีการต่าง ๆ อาทิ การเชิญชวนนานาประเทศร่วมกันลงพื้นที่ไปในพื้นที่ที่เป็นต้นเหตุ ทำให้เขาให้ความร่วมมืออย่างจริงจังและจริงใจ รวมถึงการแทรกแซง เช่น การตัดอินเตอร์เน็ต ไฟฟ้า น้ำมัน เพื่อกดดันให้ให้ประเทศเหล่านั้นรับผิดชอบ แต่หากประเทศเหล่านั้นไม่ร่วมมือ เราก็ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้คนไทยปลอดภัย สังคมไทยอยู่ได้อย่างผาสุก ความร่วมมือภายในและภายนอกประเทศจะนำไปสู่ความสำเร็จในการปราบปราม แต่ต้องใช้เวลาในการขับเคลื่อน ซึ่ง 1 เดือนที่ผ่านมาเราได้เห็นความเปลี่ยนแปลง และเราจะสู้อย่างเต็มที่ด้วยศักยภาพของทุกคนทุกหน่วยงาน
Advertisement