พลเรือตรีสุรสันต์ คงสิริ โฆษกกระทรวงกลาโหม และ นางมาระตี นะลิตา อันดาโม รองอธิบดีกรมสารนิเทศ และรองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงผลการประชุมศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา หรือ ศบ.ทก. ประจำวันพุธที่ 20 สิงหาคม 2568
พลเรือตรีสุรสันต์ กล่าวว่า สถานการณ์ชายแดนทั่วไปไม่ปรากฏเหตุการณ์ที่เป็นนัยสำคัญอยู่ในสภาวะปกติ ขณะที่การตรวจพบโทรศัพท์มือถือของฝ่ายกัมพูชา โดยกองทัพเรือได้ตัวพบหลักฐานสำคัญ ยืนยันว่าทหารกัมพูชาใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล PMN 2 บริเวณภูมะเขือ สืบเนื่องมาจากวันที่ 19 สิงหาคม 2568 ชุดเก็บกู้กวาดล้างที่ 1 หน่วยปฏิบัติการทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรม กองทัพเรือ ซึ่งสนับสนุนการปฏิบัติการกู้ระเบิดและกวาดล้างในพื้นที่ภูมะเขือ จังหวัดศรีสะเกษ ของกองร้อยทหารราบที่ 132 กองพันที่ 13 ฐานเหนือเมฆ ได้ตรวจพบโทรศัพท์มือถือของทหารกัมพูชาที่ทิ้งไว้ในพื้นที่ดังกล่าว
โดยเจ้าหน้าที่ได้ทำการตรวจสอบภายในเครื่อง พบมีคลิปวีดีโอและภาพถ่ายที่แสดงให้เห็นชัดเจนว่าทหารกัมพูชา กำลังถือทุ่นระเบิดชนิด PMN 2 ซึ่งเป็นทุ่นระเบิดสังหารบุคคล รวมทั้งมีการบันทึกเสียงเป็นภาษาขแมร์ ซึ่งเป็นการสาธิตการใช้งานทุ่นระเบิดดังกล่าว ก่อนนำไปลักลอบฟังในพื้นที่ชายแดน ซึ่งหลักฐานดังกล่าว ยังระบุ ถึงวันที่และเวลาที่ถ่ายภาพรวมไปถึงสถานที่โดยมีการระบุอย่างชัดเจน ถือเป็นหลักฐานสำคัญในการยืนยันพฤติกรรมละเมิดข้อตกลงใช้ทุ่นระเบิดขัดต่ออนุสัญญาระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง ซึ่งหลักฐานเหล่านี้กองทัพได้จัดส่งไปให้กระทรวงการต่างประเทศเพื่อนำไปเป็นหลักฐานที่จะประกอบยืนยันการละเมิดข้อตกลงของทางกัมพูชา ที่จะเสนอเข้าสู่ที่ประชุมอนุสัญญาออตตาวา ที่จะมีการประชุมในวันศุกร์ที่ 22 สิงหาคม ที่จะถึงนี้
พลตรีสุรสันต์ ยังกล่าวถึง การปฏิบัติของชุดผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว หรือ IOT ในพื้นที่ในช่วงเวลาที่ผ่านมาเป็นการปฏิบัติในช่วงของวันที่ 18-20 สิงหาคม เป็นการปฏิบัติตามข้อตกลง การประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปหรือ GBC ที่ทั้งไทยและกัมพูชาได้ลงนามไว้เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2568 ที่ประเทศมาเลเซีย โดยมีการปฏิบัติที่สำคัญ 18 สิงหาคม ชุดผู้สังเกตการณ์ชั่วคราวได้รับฟังการบรรยายสรุปสถานการณ์บริเวณกองบัญชาการมณฑลทหารบกที่ 22 จังหวัดอุบลราชธานี ได้มีการพบปะพูดคุยกับผู้บังคับบัญชาระดับสูงของทั้งมณฑลทหารบกที่ 22 และทัพภาคที่ 2 โดยรองแม่ทัพภาคที่ 2 เป็นผู้แทนจากแม่ทัพภาคที่ 2 ให้การต้อนรับและชี้แจงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
ขณะที่วันที่ 19 สิงหาคม คณะผู้สังเกตการณ์ได้สังเกตการณ์ในพื้นที่ช่องอานม้า จังหวัดอุบลราชธานี้ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ฝ่ายกัมพูชาเข้ามาตัดลวดหนามของฝ่ายไทยที่วางไว้เป็นเครื่องกีดขวางไม่ให้เกิดการลุกลามเข้ามา โดยมีการชี้แจงให้คณะ ได้ทราบว่าในพื้นที่ดังกล่าวนั้นเป็นพื้นที่อธิปไตยของไทยอย่างชัดเจน จากนั้นได้ไปสังเกตการณ์ไปยัง ผามออีแดง เพื่อชี้แจงแนวทางการยิงของฝ่ายกัมพูชา โดยอาวุธจรวด BM 21 หรือ จรวดหลายลำกล้องยิงเข้ามา ทำให้ไทยเกิดการสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ก่อนที่คณะจะไปสังเกตการณ์ยังพื้นที่ภูมะเขือ บริเวณฐานกฤษณา
ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ทางทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิด และมีการตรวจพบทุ่นระเบิดเพิ่มเติม ในช่วงเวลาที่เดินทางไปตรวจเยี่ยมโดยในภายหลังฝ่ายไทยได้ชี้แจงให้เห็นถึงการปฏิบัติของฝ่ายไทยในการเก็บกู้ทุ่นระเบิดที่มีการตรวจพบดังกล่าวด้วย รวมถึงให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยช่วยเหลือในการส่งศพของทหารกัมพูชาที่อย่างตกค้างในพื้นที่ ที่เดิมฝ่ายกัมพูชาปฏิเสธ ที่จะรับกลับไปยังประเทศ แต่หลังจากที่มีการเจรจาทั้งสองฝ่ายเรียบร้อยแล้วให้ฝ่ายกัมพูชายอมรับนำศพกลับไป
ขณะที่วันที่ 20 สิงหาคมและผู้สังเกตการณ์จะไปที่สถานที่ควบคุมเฉลยศึกกัมพูชา 18 คน ตามอนุสัญญาเจนีวา รวมทั้งเดินทางไปยังโรงพยาบาลพนมดงรัก ซึ่งเป็นสถานที่ที่ได้รับผลกระทบจากจรวด BM 21 และจุดช่องจุ๊บตะโมกที่ทหารไทยของทหารพรานที่ 2610 เหยียบทุ่นระเบิด โดยหลังจากนี้กองทัพไทยจัดประชุมสรุปผลการปฏิบัติในวันที่ 21 สิงหาคม รวมทั้งจัดตั้งสำนักงานประสานงานกับคณะผู้สังเกตการณ์ณสถานที่กองบัญชาการกองทัพไทย โดยผู้สังเกตการณ์อาเซียน จะนำข้อมูลที่ได้ไปนำเรียนในสายงานกองบังคับการของตัวเอง ซึ่งในปัจจุบันทางคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน จะใช้สำนักงานผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารมาเลเซียประจำประเทศไทย เป็นสำนักงานการประสานของคณะดังกล่าว
ขณะที่ พื้นที่บ้านหนองจาน จังหวัดสระแก้ว ซึ่งเดิมเคยเป็นพื้นที่พักพิงชั่วคราว ที่ฝ่ายไทยให้ชาวกัมพูชาหนีภัยสู้รบในอดีตปี 2518 จากสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ภายในประเทศกัมพูชา เกิดคลื่นมนุษย์จำนวนหลายแสนคนอพยพหนีตายข้ามแดนมายังฝั่งไทย ตามคำร้องขอของ UNSCR และหลักมนุษยธรรม แต่เวลาต่อมาเมื่อสถานการณ์สิ้นสุดลงแม้ว่าจะมีผู้อพยพส่วนใหญ่เดินทางกลับไปยังกัมพูชา
แต่ก็ยังมีบางส่วนที่ยังคงค้างอยู่ในพื้นที่ดังกล่าว มิหนำซ้ำยังตั้งชุมชนรุกล้ำแผ่นดินประเทศไทยที่เคยเป็นการช่วยเหลือในการจัดตั้งศูนย์พักพิงผู้อพยพ ซึ่งถือเป็นการละเมิดบันทึกความเข้าใจหรือ MOU ปี 2543 อย่างชัดเจน ด้วยการปฏิบัติของฝ่ายไทยในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา 10 กว่าปีที่ผ่านมา มีการประท้วงไปอยู่หลายครั้ง ยังฝ่ายกัมพูชาซึ่งแสดงถึงเจตนารมที่แน่วแน่ในการปฏิบัติตนเพื่อเป็นเพื่อนบ้านที่เป็นมิตรและหารือข้อขัดแย้งผ่านกลไกทวิภาคีที่เหมาะสม ใช้กลไกกรรมาธิการเขตแดนร่วมหรือ JBC แต่ฝ่ายกัมพูชาใช้ประชาชนของตนเป็นกำแพงมนุษย์ล้ำในเขตอธิปไตยของไทยอย่างไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ยั่วยุให้เกิดความตึงเครียดบริเวณชายแดน
พลเรือตรีสุรสันต์ ยังกล่าวว่า ประเทศไทยเคยให้ความช่วยเหลือกัมพูชามาในอดีตทั้งเรื่องของมนุษยธรรมในการให้เป็นพื้นที่หลบภัยจากสงครามให้กับประชาชนชาวกัมพูชาหลายแสนคน แต่กลับโดนบิดเบือนความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมของไทยที่ยื่นให้ นำความช่วยเหลือนี้ไปบุกรุกพื้นที่อธิปไตยของไทย รวมถึงเป็นพื้นที่ที่ประชาชนคนไทยได้เคยทำมาหากิน จนกระทั่งทำให้ประชาชนดังกล่าวต้องอพยพออกจากพื้นที่ สะท้อนให้เห็นถึงความไม่จริงใจของฝ่ายกัมพูชาและเจตนาร้ายในการรุกล้ำพื้นที่ของประเทศไทยอย่างชัดเจน
ขณะที่การติดตั้งแนวเครื่องกีดขวางลวดหนามต่างๆของไทย พลเรือตรีสุรสันต์ ยืนยันว่า เป็นสิทธิในการดำเนินการเพื่อปกป้องและคุ้มครองความปลอดภัยให้กับประชาชนไทยและกองกำลังด้านความมั่นคงของไทยป้องกันไม่ให้มีการรุกล้ำเพิ่มเติมเข้ามาอีก รวมทั้งเป็นการป้องกันการลักลอบวางทุ่นระเบิดของฝ่ายกัมพูชา การดำเนินการของฝ่ายไทยเป็นไปตามข้อตกลงของคณะกรรมการ GBC ที่ได้มีการลงนามไปเมื่อ 7 สิงหาคมที่ผ่านมา โดยทั้งสองฝ่ายตกลงว่าจะละเว้นการสร้างหรือพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางทหารล้ำออกนอกเขตของทั้ง 2 ประเทศซึ่งบริเวณดังกล่าวไม่ได้เป็นการละเมิด แต่พื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ของไทย 100%
ด้านนางมาระตี กล่าวถึงคลิปการวางทุ่นระเบิด มีความพยายามบิดเบือนว่าเป็นนักแสดงไทยนำชุดทหารกัมพูชามาสวมใส่และแสดงละคร ขอให้ประชาชนมั่นใจว่า คลิปวีดีโอที่เก็บภาพเหตุการณ์จริง และจะนำไปประกอบเป็นหลักฐานข้อมูลที่ฝ่ายไทยจะนำไปชี้แจง ของกัมพูชาได้อย่างดีในกรอบของอนุสัญญาออตตาวา ที่ทางกระทรวงการต่างประเทศกำลังเดินเรื่องอยู่ และวันที่ 22 สิงหาคมนี้ หรือวันศุกร์นี้จะมีการประชุมของคณะกรรมการกรอบอนุสัญญาออตตาวาที่ดูแลเรื่องของการปฏิบัติตามอนุสัญญาเป็นการเฉพาะ โดยเอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยในนครเจนีวา จะเข้าประชุม และนำข้อมูลหลักฐานที่ไทยเก็บรวบรวมไว้มาชี้แจงอย่างแน่นอน
Advertisement