ศบ.ทก. ประท้วงกัมพูชาเป็นลายลักษณ์อักษร-แจ้งประธานออตตาวาเหตุละเมิดอธิปไตย-หลักกฎหมายระหว่างประเทศ วางทุ่นระเบิดสังหารบุคคลทหารไทยทุพพลภาพ
พลเรือตรีสุรสันต์ คงสิริ โฆษกกระทรวงกลาโหม และ นางมาระตี นะลิตา อันดาโม รองอธิบดีกรมสารนิเทศ และรองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงผลการประชุมศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา หรือ ศบ.ทก. ประจำวันจันทร์ที่ 21 กรกฎาคม 2568
โดยพลเรือตรีสุรสันต์ กล่าวว่า กล่าวถึงการพิสูจน์ทราบทุ่นระเบิด จากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2568 เป็น ผลมาจากที่หน่วยเฉพาะกิจที่หนึ่ง กองกำลังสุรนารี ได้ปฏิบัติการลาดตระเวน เพื่อคุ้มครองการเสริมสร้างเส้นทางทางยุทธวิธี จากฐานมรกตไปยังเนิน 481 ซึ่งถือเป็นพื้นที่อธิปไตยของไทย ทำให้พลทหารเหยียบกับระเบิด ตามที่ปรากฏเป็นข่าว ยืนยันว่าทางการไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้มีการจัดหน่วยผู้เชี่ยวชาญด้านทุ่นระเบิดเข้าไปพิสูจน์ทราบ โดยในวันที่ 18 กรกฎาคม 2568 หน่วยดังกล่าวได้สำรวจและพิสูจน์ทราบว่าในพื้นที่เกิดเหตุ อยู่ห่างจากเส้นปฏิบัติการ 130 เมตร โดยจุดวางทุ่นระเบิดอยู่บนเส้นทางลาดตระเวนของฝ่ายไทย ที่เป็นการปฏิบัติตามปกติ ซึ่งการลาดตระเวนทางฝ่ายไทยมีการดำเนินการตามปกติ แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในถือเป็นเหตุสุดวิสัย
หน่วยพิสูจน์ทราบได้พิสูจน์ทราบว่าหลุมระเบิดที่เกิดเหตุนั้นมีความกว้าง 69 ซม.ลึก 23 ซม. หน่วยชุดพิสูจน์ทราบได้พบเศษวัตถุระเบิดชนิด PMN 2 และพบทุ่นระเบิดเพิ่มอีก 2 จุด จากการพิสูจน์ทราบ โดยจุดแรกอยู่ห่างจากต้นพญาสัตบรรณราว 50 เมตรใกล้คูเลตที่ทางทหารกัมพูชาเคยขุดไว้ ซึ่งเป็นกรณีพิพาทระหว่างกัน ตรวจพบอีก 3 ทุ่น ส่วนจุดที่ 2 พบเพิ่มอีก 5 ทุ่น ห่างจากจุดแรกประมาณ 100 เมตร รวมทั้งหมดในการพิสูจน์ทราบ เจอทั้งหมด 7 ทุ่น
จากการตรวจพบทุ่นระเบิดยืนยันว่า ทั้งหมดเป็นระเบิดใช่ใหม่ PMN 2 มีสภาพใหม่พร้อมทำงาน ปรากฏตัวอักษรชัดเจนบริเวณด้านข้างทุ่นระเบิด ซึ่งทุ่นระเบิดชนิดนี้ประเทศไทยและกองทัพไทยไม่มีอยระบบสารระบบยุทโธปกรณ์ ขณะเดียวกันหลักฐานที่ชัดเจน ยังไม่มีวัชพืชหรือรากไม้ขึ้นปกคลุม พบร่องรอยของการขุดเพื่อวางทุ่นระเบิด
โดยในปี 2565 กองทัพได้ดำเนินการกวาดล้างทุ่นระเบิดในพื้นที่บริเวณช่องบก โดยไม่ตรวจพบทุ่นระเบิด PMN 2 แต่อย่าเป็น ซึ่งเป็นสิ่งบ่งบอกว่าระเบิดชนิดนี้เป็นระเบิดใหม่ และประเมินได้ว่า PMN 2 ที่ตรวจพบเป็นการวางหลังจากเกิดเหตุปะทะเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา และวันที่ 20 กรกฎาคม 2568 ตรวจพบทุ่นระเบิดอีก 2 จุดโดยเป็นระเบิดชนิด PMN 2 เช่นเดียวกัน ห่างจากหลุมระเบิดที่เกิดเหตุ ประมาณ 20-30 เซนติเมตร ชี้ชัดว่ามีการวางใหม่เพิ่มเติมอีก โดยเป้าหมายเพื่อสังหารบุคคลและเป็นการละเมิดอนุสัญญาต่อว่าอย่างชัดการรุกลเป็นการรุกล้ำอธิปไตยของไทย
พลเรือตรีสุรสันต์ ยังกล่าวว่า เหตุการณ์ดังกล่าว กองทัพได้ยกระดับมาตรการการปฏิบัติที่เข้มข้นขึ้น โดยหน่วยในพื้นที่ได้รับคำสั่งให้เพิ่มความระมัดระวังในการลาดตระเวน และมีการเตรียมความพร้อมสูงขึ้น ตามหลักการปฏิบัติของกฎการใช้กำลังของกองทัพ ซึ่งศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติโดยกองทัพไทยได้ออกหนังสือประณามการกระทำดังกล่าวอย่างชัดเจน เป็นที่เรียบร้อยแล้ว 20 กรกฎาคมที่ผ่านมา และจะยังคงติดตามและมีมาตรการเพิ่มเติม นอกจากนี้กองทัพยังมีวาระที่จะเชิญผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารรวมถึงผู้แทนกองทัพจากประเทศต่างๆ มารับฟังคำชี้แจงเพื่อรับทราบข้อเท็จจริงในเร็วๆนี้
ส่วนกรณีประสาทตาเมือนธม ที่เกิดเหตุการณ์เมื่อ 15 กรกฎาคมที่ผ่านมา ทางฝ่ายไทยและกัมพูชาได้ร่วมหารือเพื่อแก้ไขหามาตรการในการบริหารจัดการ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ กระทบกระทั่งระหว่างนักท่องเที่ยวทั้งสองฝ่าย โดยมีการกำหนดมาตรการ หากมีปัญหาจากนักท่องเที่ยวเกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นนักท่องเที่ยวชาติใดให้เจ้าหน้าที่ชุดประสานงานของชาตินั้นเป็นผู้จัดการ โดยจะเชิญตัวนักท่องเที่ยวออกจากพื้นที่ กรณีที่ส่วนกรณีที่มีปัญหาในพื้นที่การแก้ไขปัญหาให้ชุดประสานงานประสาทในพื้นที่ซึ่งแต่ละฝ่ายจัดกำลัง 7 นาย ให้เป็นผู้ดำเนินการในการแก้ไขปัญหาไม่มีการเรียกชุดกำลังเสริม หรือชุดอื่นๆที่ไม่เกี่ยวข้องมาเพิ่มเติม เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการเผชิญหน้าหรือลดการเผชิญหน้าของทั้งสองฝ่าย รวมไปถึงขอให้ทั้งสองฝ่ายได้ดำเนินการคัดกรองนักท่องเที่ยวของแต่ละฝ่ายก่อนที่จะขึ้นมาเยี่ยมชมปราสาทตาเมือนธม และขอยืนยันว่ามาตรการทั้ง 3 มาตรการมีผลบังคับใช้แล้วซึ่งทั้งสองฝ่ายเห็นพร้อมต้องการในการดำเนินการ พร้อมกำหนดมาตรการเพิ่มเติมจัดชุดอาสาสมัครและทหารพรานหญิงมาอำนวยความสะดวกเพิ่มเติม
ด้านนางมาระตี กล่าวว่า จากกรณีการลาดตระเวน ของทหารที่บริเวณช่วงบกอุบลราชธานี ประสบเหตุทหารเหยียบกับระเบิด 3 นาย เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคมที่ผ่านมา ศบ.ทก.ได้รับรายงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ยืนยันว่าทุ่นระเบิดสังหารบุคคลที่ตรวจพบไม่มีการใช้ในคลังอาวุธไทย ประกอบกับ การประมวลข้อมูลของฝ่ายความมั่นคงนำไปสู่ข้อสรุปว่าเป็นการวางระบบสังหารบุคคลหรือฝ่ายกัมพูชา ถือเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง
กระทรวงการต่างประเทศ ได้ออกแถลงการณ์วานนี้ ขอประนามอย่างรุนแรงที่สุดในการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล หรือฝ่ายกัมพูชาละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย และเป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักการพื้นฐานที่สำคัญของกฎหมายระหว่างประเทศ ที่ระบุไว้ในกฎบัตร อีกทั้งยังเป็นการกระทำที่ละเมิดพันธะกรณีภายใต้อนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล อนุสัญญาออตตาวาว่าอย่างชัดเจน
ดังนั้นเพื่อรักษาท่าทีและผลประโยชน์ในเวทีระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศจะประท้วงอย่างเป็นทางการ กรณีที่เกิดขึ้นเป็นลายลักษณ์อักษร ไปยังฝ่ายกัมพูชา เนื่องจากเป็นการละเมิดอธิปไตย หลักกฎหมายระหว่างประเทศ และมนุษยธรรมและพันธะกรณีกับอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล และยังส่งผลให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บถึงขั้นทุพพลภาพ
ขณะเดียวกันจะดำเนินการตามกระบวนการของอนุสัญญาออตตาวา พันธกรณีของไทยที่เป็นรัฐภาคีที่มีความรับผิดชอบต่อประชาคมระหว่างประเทศ ที่จะต้องแจ้งการละเมิดอนุสัญญาต่อประธานการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาซึ่งปัจจุบัน คือประเทศญี่ปุ่น เพื่อนำไปสู่การรับผิดชอบโดยกัมพูชา นอกจากนี้กระทรวงการต่างประเทศจะเดินหน้าต่อในการชี้แจงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นให้มิตรประเทศและองค์การต่างๆรับทราบโดยเฉพาะกลุ่มประเทศที่มีบทบาทสำคัญต่อภารกิจด้านการเก็บกู้ทุ่นระเบิดของกัมพูชา เช่นญี่ปุ่น และนอร์เวย์ รวมถึงองค์กรต่างๆที่มีบทบาทในเวทีอนุสัญญาว่าและจะจัดการสรุปขณะพูดประจำประเทศไทย
โดยขณะนี้นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการว่าการกระทรวงการต่างประเทศอยู่ระหว่างการเดินทางเพื่อเข้าร่วมการประชุมเวทีหารือทางการเมืองระดับสูง ว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน ที่สำนักงานใหญ่องค์การสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก โดยจะได้พบหารือผู้แทนระดับสูงจากประเทศต่างๆ ก็ใช้โอกาสนี้ยืนยันจุดยืนของไทยต่อประชาคมโลก โดยเฉพาะหลักการของไทย ที่มุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธีและการเจรจาผ่านกรอบทวิภาคี ไทยขอเรียกร้องฝ่ายกัมพูชา ให้ให้ความร่วมมือในการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรมตามแนวชายแดนตามที่นายกรัฐมนตรีของทั้งสองประเทศได้ตกลงกันไว้ภายในกรอบทวิภาคี เพื่อความมั่นคงและปลอดภัยของพื้นที่และของประชาชนของทั้งสองฝ่าย
แม้ขณะนี้เรากำลังดำเนินการเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ทหารไทยเหยียบกับระเบิดเมื่อ 16 กรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งจะมีทั้งมิติด้านความสัมพันธ์ทวิภาคี และการดำเนินการตามกลไกและพันธะกรณีระหว่างประเทศ แต่ขอเน้นย้ำว่า ไทยยังคงยืนยันจุดยืนที่จัดเจรจาทวิภาคีกับฝ่ายกัมพูชาเพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาสถานการณ์ในเวลานี้ ไปไทยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าฝ่ายความผิดกัมพูชาจะให้ความร่วมมือในกรอบทวิภาคี ด้วยความสุจริตใจโดยเริ่มจากการเข้าร่วม JBC RBC GBC ครั้งต่อไป และหวังว่าจะช่วยคลี่คลายสถานการณ์อีกทั้งไทยพร้อมที่จะใช้กรอบทวิภาคีที่อื่นๆด้วยส่งเสริมความร่วมมือด้านความมั่นคงของทั้ง 2 ประเทศ เพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศ
ขณะเดียวกันยังขอให้ตรวจสอบข้อมูลบนสื่อสังคมออนไลน์ อย่างคำพูดของผู้นำกัมพูชาทั้ง 2 คน ซึ่งย้อนแย้งกันเองทั้งคำพูดและการกระทำ นำไปสู่ความแตกแยกได้โดยไม่ตั้งใจ จึงอยากให้มีการตรวจสอบข้อมูลก่อนนำขึ้นพื้นที่สาธารณะ โดยการเผยแพร่ข้อมูลและชี้แจงการดำเนินการของฝ่ายไทย เราเน้นเรื่องการสื่อสารผ่านช่องทางทางการที่มีความรอบคอบและถูกต้อง บนพื้นฐานของกฎหมาย ไม่ได้ดำเนินการพิมพ์เพื่อให้เกิดความรวดเร็ว แต่ไม่ได้สนใจความจริง เพียงเพื่อให้ได้รับความนิยมตามกระแสในสังคมโดยการสัมผัสความถูกต้อง ตามหลักการ พร้อมขอให้เชื่อมั่นในเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานทุกหน่วยงาน
Advertisement