จากกรณีสิบเอกธีรพล เพียขันที อายุ 48 ปี ผู้บังคับชุดปฏิบัติการของกองร้อยทหารพรานที่ 26 เหยียบกับระเบิดของกัมพูชา ขณะเดินลาดตระเวน ปราสาทตาเมือนธม บริเวณช่องจุ๊บตาโมก อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ ได้รับบาดเจ็บสาหัสและสูญเสียขา 1 ข้าง เมื่อวานนี้ และได้ถูกส่งตัวมารักษาที่โรงพยาบาลสุรินทร์
วันนี้ นายแพทย์ชวมัย สืบนุการณ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสุรินทร์ ได้เดินทางเข้าตรวจดูอาการของ สิบเอกธีรพล ซึ่งเจ้าตัวก็มีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส และได้กล่าวขอบคุณทางโรงพยาบาลสุรินทร์ โดยเฉพาะผู้อำนวยการโรงพยาบาลที่ให้การดูแลอย่างดี และขณะถูกส่งตัวมา ก็เดินทางไปรับตัวถึงเฮลิคอปเตอร์ แม้ว่าตัวเองจะเป็นเพียงแค่ทหารชั้นประทวน “ ยศสิบเอก ” ซึ่งทำให้ตัวเองรู้สึกประทับใจ การทำงานของผู้อำนวยการและเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาล มาก
ส่วนเรื่องเลือด ยืนยันว่า ทางโรงพยาบาลมีเลือดทุกกรุ๊ปเพียงพอค่อการรักษาคนไข้ ไม่ได้ขาดเเคลน ตามที่โซเชียลมีการโพสต์แชร์ขอรับบริจาคเลือด อีกทั้งตัวเองซึ่งกรุ๊ปเลือด AB ก็ใช้เลือดในปริมาณที่ไม่มาก เพราะร่างกายแข็งแรง จึงฟื้นตัวเร็ว
สิบเอกธีรพล เล่าถึงประโยคเด็ดที่ตัวเองชอบพูดกับภรรยาเป็นประจำ ว่า “ ชีวิตเพื่อชาติ หัวใจเพื่อเธอ ” โดยระบุว่า ตัวเองกับภรรยาอยู่กินกันมากว่า 20 ปีแล้ว และที่ชอบพูดประโยคนี้ เพราะคิดว่าตัวเองเป็นทหารมีหน้าที่ต้องทำเพื่อชาติ แต่หัวใจ ต้องทำให้ครอบครัว ต้องรักและดูแลครอบครัวให้ดี เพราะถ้าสถาบันครอบครัวมั่นคง ก็จะมีกำลังใจไปปฏิบัติหน้าที่ป้องกันประเทศต่อไป
ขณะที่ยอมรับว่าก่อนหน้านี้ ภรรยาเคยถามว่าอายุเยอะแล้วอยากจะลาออกจากราชการหรือไม่ แต่ตัวเองก็ยืนยันที่จะทำหน้าที่เพื่อประเทศต่อไป เพราะก่อนหน้านี้ตัวเองเป็นเพียงอาสาทหารพราน และเพิ่งสมัครบรรจุเข้าเป็นทหารพรานเมื่อปี 2554 จึงคิดว่าเมื่อผู้บังคับบัญชาให้โอกาส ก็เกิดความภาคภูมิใจที่จะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด เพื่อหน่วยงานและเพื่อประเทศชาติ ขณะเดียวกันตัวเองยังทำตามความใฝ่ฝันของแม่ ที่อยากให้เป็นทหารด้วย
สิบเอกธีรพล เล่าย้อนเหตุการณ์ก่อนเหยียบกับระเบิดของกัมพูชา ว่า ตัวเองได้พาลูกน้องออกเดินลาดตระเวนในเส้นทางนี้เป็นประจำเกือบทุกวัน ซึ่งยืนยันว่าอยู่ในเขตแดนประเทศไทย และที่ผ่านมาก็ไม่เคยพบว่ามีระเบิด แต่ก่อนเกิดเหตุตัวเองติดภารกิจอื่น จึงเว้นไม่ได้ลาดตระเวน 1 วัน แล้วได้เกิดเหตุขึ้น ซึ่งตัวเองเชื่อว่าเป็นระเบิดใหม่ ที่ฝ่ายตรงข้ามน่าจะลักลอบเข้ามาวางไว้เมื่อคืนวันที่ 11 สิงหาคม ที่ไม่ได้มีการลาดตระเวน แล้วพอวันรุ่งขึ้นก็เกิดเหตุ
ส่วนในการเดินลาดตระเวนนั้น ตัวเองจะเดินนำหน้าตลอด เพราะเป็นหัวชุด จึงต้องเสียสละเพื่อความปลอดภัยของทีม
สำหรับ สิบเอกธีรพล นั้น ยังได้บอกด้วยว่า ปัจจุบันร่างกายตัวเองไม่พร้อมกลับไปสู้รบเช่นเดิม แต่ยังมีความฝันให้ครอบครัวได้สืบสานหน้าที่นี้ จึงฝากถึงผู้บังคับบัญชาขอให้บรรจุลูกชายเข้ารับราชการแทน เพราะเชื่อว่าลูกชายมีใจรักในงานด้านนี้และพร้อมจะทำหน้าที่แทนพ่อในการปกป้องแผ่นดิน
Advertisement