นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์หลังตรวจเยี่ยมการสาธิตยุทธโธปกรณ์ สำหรับช่วยลดฝุ่นและดับไฟป่าโดยบริษัทเอกชนร่วมทุนกับสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ ถึงแนวทางการจัดซื้ออาวุธของกองทัพว่าต้องคำนึงถึงกรอบ 3 ด้านคือ 1ความต้องการต้องสอดคล้องภารกิจไม่ใช่ซื้อมาแค่ความเท่ 2 ต้องคำนึงถึงประสิทธิภาพในการใช้งานและสอดคล้องกับสถานการณ์และ 3 มีความเหมาะสมกับงบประมาณและการปฎิบัติงานในพื้นที่เช่นในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ก็ต้องจัดหายุทโธปกรณ์ ที่เหมาะสมกับภารกิจ เช่นการนำโดรนมาใช้ช่วย ภารกิจที่ดียิ่งขึ้น หรือการใช้ยุทโธปกรณ์เพื่อช่วยเหลือประชาชนในการลดปัญหาหมอกควันเป็นต้น
พร้อมกันนี้ได้ย้ำถึงแนวทางการปฏิรูปกองทัพและลดกำลังพลว่าได้มีการพูดคุยร่วมกันกับ ทุกเหล่าทัพ ถึงแนวทางในการดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรม โดยจะเน้นให้สอดคล้องกับการปฎิบัติภารกิจตามลำดับความจำเป็นซึ่งที่สุดอาจจะต้องมีการยุบบางหน่วยและไปเพิ่มภารกิจเพิ่มเติมให้กับบางหน่วย แต่ทั้งหมดจะต้องคำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงให้กองทัพมีประสิทธิภาพมากขึ้นและมีความพร้อมรบ พร้อมระบุการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาช่วยในบางส่วนก็สามารถตัดลดกำลังพลลงไปได้ ซึ่งในการจัดสรรกำลังพลจะต้องทำควบคู่กันในหลายส่วนเช่นการลดจำนวนนายพลขณะเดียวกันก็มีการพิจารณาถึงกรอบอัตรากำลังตั้งแต่ระดับโรงเรียนทหารว่าจะมีการรับเข้ามาจำนวนเท่าไหร่ทั้งโรงเรียนนายสิบ รวมถึงโรงเรียนนายร้อยทั้งหมดก็จะสอดประสานกันและลดจำนวนกำลังพลลงในที่สุด
ขณะเดียวกันจากนี้ไปการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆก็ต้องมีความสอดคล้องกับขนาดของกองทัพที่จะมีการปฏิรูปให้เล็กลงไม่ใช่จะทำได้ตามอำเภอใจ ซึ่งภาพรวมการปฏิรูปกองทัพจะต้องเห็นเกิดขึ้นเป็นรูปธรรมภายในปี 2580 ตามแผน ซึ่งทั้งหมดก็จะจะต้องสอดคล้องกับภารกิจของกองทัพและภัยคุกคามที่เปลี่ยนแปลงไปในโลกยุคปัจจุบัน
ส่วนกรณีกองทัพไทยมีแนวคิดบูรณาการหน่วยปฏิบัติการพิเศษของทุกเหล่าทัพเข้าด้วยนั้นนายภูมิธรรมกล่าวว่าก็เป็นเรื่องที่จะต้องมาพูดคุยกันเพื่อดูจุดที่เหมาะสมต่อไป โดยบางเรื่องอาจไม่ได้พูดกันในที่สาธารณะแต่ขอให้ดูผลลัพธ์ที่ออกมาว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน
Advertisement