วัคซีนจุฬา ผลทดลอง ChulaCov-19 เทียบเท่าไฟเซอร์ ตั้งเป้าฉีดเม.ย. 65

16 ส.ค. 64

16 ส.ค. 64 กรณี วัคซีนจุฬา ChulaCov-19 ศ.นพ.สุทธิพงศ์ วัชรสินธุ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย และคณบดีคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, นพ.นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ และ ศ.นพ.เกียรติ รักษ์รุ่งธรรม ผู้อำนวยการบริหารโครงการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ศูนย์วิจัยวัคซีน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ร่วมแถลงผลทดสอบวัคซีนจุฬา ChulaCov-19 ในอาสาสมัคร

ทั้งนี้ ผลเบื้องต้นในการทดลองฉีดวัคซีนจุฬา ChulaCov-19 ซึ่งเป็นวัคซีนชนิด mRNA กับมนุษย์ระยะที่ 1 เมื่อวันที่ 14 มิถุนายนที่ผ่านมานั้นว่า เป็นการฉีดทดลองครบทั้งสองเข็ม และเฝ้าติดตามอาการครบ 50 วันในอาสาสมัคร 36 คน ซึ่งมีอายุระหว่าง 18-55 ปี ส่วนอาสามัครกลุ่มที่สองซึ่งมีอายุระหว่าง 56-75 ปีอีก 36 คน ส่วนใหญ่ได้ฉีดเข็มแรกไปแล้ว และต้องใช้เวลาในการติดตามผลการทดลองนานขึ้น โดยวางแผนว่าในการทดลองขั้นต่อไปจะเริ่มทดลองฉีดในกลุ่มอาสาสมัครอีก 150 คน

ส่วนเรื่องความปลอดภัยและผลข้างเคียง จากอาสาสมัคร 36 คนแรกนั้นยังไม่พบผลข้างเคียงร้ายแรงใดๆ ส่วนใหญ่แล้วเป็นผลข้างเคียงเล็กน้อยถึงปานกลาง เช่น อาการอ่อนเพลีย หนาวสั่นหรือมีไข้ ซึ่งจะดีขึ้นในระยะเวลาเฉลี่ย 1-3 วันหลังจากการฉีด และเทียบกับผลรายงานของวัคซีน โมเดอร์นา และ ไฟเซอร์ จะพบว่าวัคซีนทั้งสองก็ให้ผลข้างเคียงไม่ต่างกันมาก คือมีไข้และอาการหนาวสั่น อย่างไรก็ดี ย้ำว่าเป็นการวิจัยคนละงานกัน จึงไม่สามารถเปรียบเทียบกันโดยตรงได้

ขณะเดียวกันยังมีการตรวจผลภูมิคุ้มกันจากอาสาสมัครที่ฉีดวัคซีนไปว่า สามารถยับยั้งการจับโปรตีนที่ปุ่มหนามของไวรัสได้หรือไม่ ซึ่งผลปรากฏว่า ChulaCov-19 สามารถป้องกันไวรัสได้ถึง 94% ซึ่งวัคซีนไซเฟอร์ ป้องกันได้ 94%, แอสตร้าเซนเนก้า 84% และ ซิโนแวค 75% ตามลำดับ

นอกจากนี้ ยังมีการเพาะเชื้อไวรัสแต่ละสายพันธุ์เพื่อดูว่าภูมิคุ้มกันในเลือดสามารถป้องกันไม่ให้ไวรัสเข้าสู่เซลล์ได้หรือไม่ โดยผลการทดสอบพบว่า ภูมิคุ้มกันของผู้ที่ฉีด วัคซีนจุฬา เข็มแรกไปหนึ่งสัปดาห์นั้นได้ภูมิใกล้เคียงกับวัคซีนไฟเซอร์ ขณะที่ผลการทดลองหลังฉีดครบสองเข็ม พบว่า วัคซีนจุฬา ChulaCov-19 สามารถป้องกันเชื้อกลายพันธุ์ได้ ซึ่งสามารถป้องกันเชื้อดั้งเดิมได้มากที่สุด รองลงมาคือสายพันธุ์อัลฟา, เบตา และแกมมาตามลำดับ ส่วนสายพันธุ์เดลตาซึ่งเป็นสายพันธุ์ล่าสุดนั้นป้องกันได้ค่อนข้างดี ในภาพรวมแล้วสามารถป้องกันอาการของโรคได้กว่า 80%

อย่างไรก็ตาม วัคซีนจุฬายังสามารถไปกระตุ้นทีเซลล์ โดยเป็นภูมิระดับเซลล์ที่มีหน้าที่ไปขจัดเซลล์ติดเชื้อโควิดต่างๆ ได้อย่างเป็นที่น่าพอใจ ทั้งหมดนี้จะช่วยขจัดและควบคุมเชื้อที่อยู่ในเซลล์ของคนที่ติดเชื้อได้ ซึ่งจุดเด่นของ ChulaCov-19 คือ สามารถเก็บไว้ในอุณหภูมิตู้เย็นธรรมดาคือ 2-8 องศาเซลเซียสได้นานอย่างน้อย 3 เดือน และในอุณหภูมิ 25 องศาเซลเซียสนาน 14 วัน ฉะนั้นการขนส่งและการนำไปฉีดจริงจึงสบายใจขึ้นมาก

ในส่วนของประเด็นการทดลองงานวิจัยในระยะต่อๆ ไป ศ.นพ.เกียรติชี้ว่า เชื่อว่าปีหน้า คนไทยประมาณ 70-80% น่าจะฉีดวัคซีนจนครบแล้ว ดังนั้น ChulaCov-19 จึงต้องมีวัคซีนเพียงพอในฐานะเป็นวัคซีนการกระตุ้นเข็มสามให้คนที่ฉีด Sinovac หรือ AstraZeneca จนครบสองเข็มแล้ว หรือคนที่เคยติดเชื้อก็ตาม

ด้านการทดลองเฟสที่สามนั้นอยู่ที่กติกาของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ประเทศไทยว่าจะมีกติกาออกมาอย่างไร คาดว่าเดือนหน้าจะรู้ผลว่าการขึ้นทะเบียนวัคซีน ChulaCov-19 นี้ต้องผ่านด่านอะไรบ้าง โดยโรงงานผลิตไทยมีความพร้อมแล้ว และหากเป็นไปตามแผน คาดว่าเดือนตุลาคมนี้น่าจะมีวัคซีนที่ผลิตในไทยทั้งหมด เนื่องจากรุ่นที่ใช้ฉีดตอนนี้ผลิตในแคลิฟอร์เนียและสหรัฐฯ

อนึ่ง หากประเทศไทยต้องการให้มีวัคซีนได้รับการรับรองเป็นภาวะฉุกเฉินของเราเองอย่างน้อย 1 ใน 4 วัคซีนภายในเดือนเมษายน 2565 ช่วงก่อนเทศกาลสงกรานต์นั้น ต้องอาศัยองค์ประกอบสี่อย่าง คือประเทศไทยต้องไม่บริหารแบบเดิม เราต้องมีเป้าหมายร่วมกันทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชน ต้องมีงบประมาณที่เพียงพอ รวดเร็ว มีประสิทธิภาพและตัดสินใจได้, กติกาในการขึ้นทะเบียนวัคซีนของ อย. ต้องมีกติกาออกมาให้ชัดเจนภายในเดือนหน้า ว่าการขึ้นทะเบียนนั้นต้องทำวิจัยระยะสองบีหรือระยะที่สามอย่างไรจึงจะเพียงพอ, โรงงานผลิต ต้องเร่งดำเนินการให้สามารถผลิตวัคซีนที่มีคุณภาพจำนวนมากได้ และประการสุดท้ายคือนโยบายการสั่งจองและจัดซื้อวัคซีนล่วงหน้าต้องมีความชัดเจน

และเป้าหมายของเราคือมีวัคซีนของคนไทยที่ปลอดภัย และใช้ได้ก่อนสงกรานต์ปี 2565 ดังนั้นเราต้องหาเงิน เบื้องต้นคืออยู่ที่กติกาของ อย. ว่าจะออกมาภายในเดือนหน้าอย่างไร ว่าต้องวิจัยระยะสองบีแล้วไปเทียบกับวัคซีนที่ขึ้นทะเบียนในประเทศไทยว่าเราใกล้เคียงหรือดีเท่า หรือดีกว่าได้หรือไม่ ดังนั้นการวิจัยระยะสองบีก็ใช้เงินน้อย ประมาณ 5,000 ล้านบาท ขณะที่อาสาสมัครน่าจะอยู่ที่ 500-600 ล้านบาท ต้องไปรีบหาเงินมาไม่ว่าเงินนั้นจะมาจากรัฐหรือระดมทุน ย้ำว่าเป้าหมายสำคัญที่สุดคืออยากให้ประเทศไทยผลิตวัคซีนได้เองภายในเดือนเมษายน 2565 ก่อนสงกรานต์ ไม่ว่าจะเป็นวัคซีน ChulaCov-19 หรือของต่างประเทศก็ตาม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

- อาสาสมัครรีวิววัคซีนสัญชาติไทย ChulaCov-19 เป็นกลุ่มเสี่ยงติดเชื้อแต่รอดโควิดทั้ง 3 ครั้ง
- กรมควบคุมโรค ชี้คนไทยฉีดวัคซีน ซิโนแวค มากที่สุด (ข้อมูล 15 ส.ค.) 11 ล้านโดส
- ม.ธรรมศาสตร์ พร้อมนำเข้า วัคซีน - เวชภัณฑ์ แนวทางเดียวกับ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ข่าวที่ได้รับความสนใจ