ฟ้า ไม่ยอมคน! โต้แม่ พูดไม่จริงปมส่วนแบ่ง 3 แสนคดีหวย - ษิทราเมินไม่ให้ราคา (คลิป)

6 มี.ค. 61
จากกรณี นางปิ่นแก้ว กองร้าย แม่ของ น.ส.กนกพรรณ หมวกไสว หรือ "ฟ้า" ออกมาเปิดเผยกับทีมข่าว ระบุถึงนิสัยใจคอของลูกสาว รวมทั้งสาเหตุที่ผิดใจกัน เพราะเหตุตนไม่ให้ยืมรถยนต์ นอกจากนี้ยังพูดถึงกรณีที่ "ฟ้า" ได้รับส่วนแบ่งจากครูปรีชา หากชนะคดี
น.ส.กนกพรรณ หมวกไสว หรือ ฟ้า
วันนี้ (5 มี.ค.) น.ส.กนกพรรณ หรือ "ฟ้า" เปิดใจว่า เรื่องราวที่แม่ตนได้ออกมาให้สัมภาษณ์นั้น ไม่เป็นความจริง ทั้งเรื่องนิสัยใจคอว่า ตนอารมณ์ร้าย อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ นั้น น.ส.กนกพรรณ กล่าวว่า ตนเป็นคนพูดตรงๆ ไม่เคยไปหาเรื่องใคร หรือต่อว่าใครก่อน แต่หากถูกกระทำตนก็ไม่เคยยอมเช่นกัน ส่วนกรณีที่แม่ตนระบุว่า ตนโกรธที่แม่ไม่ให้ยืมรถนั้น "ฟ้า" ชี้แจงว่า ไม่เคยโกรธเรื่องนี้ แต่ยอมรับเคยไปขอยืมรถจากแม่จริง ซึ่งเป็นรถของพ่อเลี้ยง โดยติดต่อขอเช่ามาขนของที่กรุงเทพฯ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ยืมแต่อย่างใด ซึ่งตอนนั้นตนถูกด่าด้วยคำหยาบคาย แต่ตนก็ไม่เคยโกรธ เพียงแค่รู้สึกไม่ดีกับคำพูดเท่านั้นเอง พร้อมยืนยันว่า เรื่องนี้ไม่ใช่สาเหตุที่ตนผิดใจกับแม่แน่นอน ส่วนเรื่องที่แม่บอกว่า ตนไม่เคยส่งเสียเลี้ยงดูนั้น "ฟ้า" ยอมรับว่า ที่ผ่านมาตนดูแลมาตลอด ทั้งซื้อของเข้าบ้าน พาไปกินอาหารดีๆ รวมทั้งหนี้สินที่แม่สร้าง ตนก็ไปชำระให้จนหมด ในบรรดาลูก 3 คน ยืนยันว่า ตนเป็นที่พึ่งให้กับแม่ได้มากที่สุด ตอนที่ยังไม่ผิดใจกัน ตนยังส่งเงินให้แม่ใช้จ่ายเดือนละไม่ต่ำกว่า 10,000 บาท และบางเดือนส่งให้มากกว่านั้น ส่วนกรณีที่บอกว่า ตนจ้างแม่ล้างจานตอนที่ไปขายน้ำเต้าหู้ นั้นเป็นเรื่องจริง เพราะตนทำงานเช้า และเย็น หลังขายของเสร็จ แม่จึงล้างจานที่ร้านให้ แต่ตนก็ให้เงิน ไม่ได้ใช้แม่แบบคนงาน และไม่ได้ใช้งานหนัก เป็นลักษณะเหมือนคนในครอบครัวช่วยเหลือกัน ส่วนที่บอกว่า ตนเบี้ยวเงินค่าจ้าง ที่ให้แม่มาช่วยตกแต่งร้านที่กรุงเทพฯ "ฟ้า" ย้ำว่า ตนไม่ได้เบี้ยวเงินแม่ และก่อนที่แม่จะมาช่วยตกแต่งร้าน ตนยังได้ใช้หนี้ให้แม่ก่อนหน้านี้ด้วย
นางปิ่นแก้ว กองร้าย มารดาของ น.ส.กนกพรรณ หมวกไสว หรือ ฟ้า
"ฟ้า" เปิดเผยอีกว่า ไม่ได้รู้สึกอะไรที่แม่ออกมาพูดถึงตนในทางที่ไม่ดี เพราะชินกับการกระทำเช่นนี้ แต่อยากให้แม่หยุด เพราะพูดไปมันไม่มีอะไรดีขึ้น ไม่ใช่ตนที่เสียหาย แต่เป็นแม่ต่างหากที่จะเสียหาย ทุกวันนี้ตนต้องมาตอบปัญหาที่แม่ออกมาพูด จึงอยากฝากถึงแม่ว่า หากจะพูดอะไรขอให้คิดก่อน ทุกวันนี้ ตนจะผิดใจกับแม่ แต่ตนก็ยังอยากกลับไปดูแลแม่ แต่แม่ไม่รับ แม่เดินจากตนไปเอง เพราะในอดีตแม่เคยไปบ่นกับสามีว่า ไม่อยากล้างจานแล้ว ทำแล้วมือเปื่อย มือเน่า และบอกว่าจะกลับไปขายของ ซึ่งคำพูดคำนี้เป็นจุดเปลี่ยน ที่ทำให้ตนต้องย้ายออกมาเช่าห้องอยู่ เพื่อขายของเอง ซึ่งที่ผ่านมาตนรู้สึกตัวเองว่า ถูกเอาเปรียบมากเกินไป ส่วนกรณีที่ระบุว่าตนรับเงินจากครูปรีชา 300,000 บาท ในคดีหวย 30 ล้านนั้น ขอยืนยันไม่เป็นความจริง ยิ่งก่อนหน้านี้มีข้อมูลออกมาว่า ตนรับเงินมาแล้ว 100,000 บาท ก็ไม่ใช่ความจริง ที่ผ่านมาตนไม่เคยได้เงิน และยังไม่เคยคุยเรื่องเงินส่วนแบ่งแต่อย่างใด ขณะเดียวกัน ตนได้เพียงเงินค่าน้ำมันที่ครูปรีชา ให้ไม่เกิน 1,000 บาท อย่างไรก็ตามมีการคุกันว่า หากครูชนะคดี จะจัดตั้งกองทุนเพื่อการศึกษาสำหรับเด็กด้อยโอกาส และตั้งกองทุนสำหรับแม่ค้าลอตเตอรี่ เพื่อตอบแทนกลุ่มแม่ค้า ที่เสียเวลามาเป็นพยาน โดยเงินก้อนนี้ให้ใช้เป็นทุนหมุนเวียนเท่านั้น รวมถึงมีการคุยเรื่องค่าจ้างทนายความ แต่ไม่เคยคุยเรื่องเงินสำหรับตัวเองเลย และขอยืนยันว่าตนไม่เคยเรียกร้องอะไรจากครูปรีชา ส่วนที่แม่ตนระบุว่า อดีตสามีได้ข้อมูลจากพี่สาวครูปรีชา เรื่องเงินที่พูดถึง น่าจะเป็นค่าจ้างทนายความ ซึ่งไม่ใช่เงินค่าจ้างของตนอย่างแน่นอน
นายษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ
ทางด้าน นายษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ หรือ "ทนายตั้ม" ได้พูดถึงกรณีดังกล่าวว่า ส่วนตัวก็ไม่ทราบว่า จริงเท็จอย่างไร แต่ในเมื่อแม่ของฟ้า เป็นคนพูดก็น่าคิดว่าจะเป็นเรื่องจริง ส่วนตัวไม่ได้สนใจอะไร เพราะหากเจ้าตัวไม่มีผลประโยชน์ก็คงไม่ออกมาเคลื่อนไหว ความจริงแล้ว ต้องบอกว่า ตนไม่ได้สนใจเรื่องของ "ฟ้า" เพราะไม่เกี่ยวข้องกับคดี และการที่ออกมาเคลื่อนไหว ก็เหมือนเป็นการสร้างกระแสข่าว ไม่เห็นจะมีประเด็นใดที่เป็นสาระสำคัญ แม้กระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ออกหมายจับ และจับตัวได้แล้ว จนประกันตัวครูปรีชา กับ เจ๊บ้าบิ่น ก็ไม่เห็นจะเกี่ยวข้องใดๆ ดังนั้นเรื่องนี้ อยากให้สังคมเป็นคนตัดสินว่าที่แม่ของฟ้า ออกมาพูดนั้น มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างไรหรือไม่ และตั้งข้อสังเกตุว่า ในเมื่อ "ฟ้า" ออกมาพูดกับสื่อ ได้มีข่าวเรื่องผลประโยชน์มาเกี่ยวข้อง ตนมองว่า จากนี้ทาง "ฟ้า" จะออกมาเคลื่อนไหวอะไร คงไม่น่าเชื่อถือแล้ว หากเป็นคนที่รู้เห็นจริง ก็ต้องเอาหลักฐานมายื่นจะได้เป็นประโยชน์ต่อคดี
ทนายษิทรา โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กส่วนตัว
อย่างไรก็ตาม ทนายษิทรา ยังได้ออกมาโพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กส่วนตัว เกี่ยวกับที่โรงเรียนยังอนุญาติให้ครูปรีชากลับไปสอนเด็กนักเรียนในโรงเรียนว่า ความจริงแล้วก็ไม่อยากไปยุ่งกับทางครูปรีชา หรือกับทางผู้อำนวยการโรงเรียนแต่อย่างใด แต่ส่วนตัวเห็นใจผู้ปกครอง และนักเรียนที่ครูปรีชา ยังกลับเข้าไปสอนต่อได้อีก เมื่อจะสอนให้เด็กเป็นคนดี แต่ครูกลับยังมีคดีโดนออกหมายจับ จนกระทั่งตำรวจไปจับถึงในโรงเรียน แล้วจะมีสมาธิในการสอนอยู่หรือไม่ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าคิด ส่วนคำถามว่า ทนายษิทรา โพสต์แบบนี้ อาจจะถูกมองว่า เป็นการโจมตีครูปรีชาหรือไม่ ทั้งที่คุรุสภา และกระทรวงศึกษายังไม่ชี้มูลว่าผิดอย่างไร ทนายษิทรา ชี้แจงว่า หากวันนี้คุรุสภามีมาตรฐาน ก็จะต้องดำเนินการระหว่างรอการพิจารณา พร้อมทั้งยกตัวอย่าง เช่น หน่วยงานศาล หรือ ตำรวจ หากมีคนเกี่ยวข้องไปกระทำผิด ก็จะต้องย้ายไปก่อน หรือแม้กระทั่งกรณีนี้ตำรวจไปยุ่งเกี่ยวกับการปิดสำนวนคดีหวย ยังถูกย้ายไปปฏิบัติหน้าที่จุดอื่น ดังนั้นถ้าหากทางคุรุสภาจะใช้มาตรฐานนี้ในการดำเนินการ ตนเองก็ไม่มีข้อขัดข้องใดๆ
นายปรีชา ใคร่ครวญ ครูชำนาญการพิเศษ
ทั้งนี้ ทนายษิทรา ย้ำอีกว่า สิ่งที่ตนเองตัดสินใจโพสต์ เพราะว่ามีความเป็นห่วงเด็กๆ หากพูดมากไปกว่านี้ จะถูกมองว่าเป็นการโจมตี ดังนั้นแค่ตนเองห่วงน้องๆ นักเรียนในโรงเรียน และภาพลักษณ์ของครูทั่วประเทศมากกว่า ถ้าหากวันนี้ไม่มีการออกมาเตือน ก็อาจจะลืมคิดกันในเรื่องนี้ พร้อมยืนยันว่า การโพสต์ข้อความดังกล่าว ไม่ใช่เป็นการโจมตีใคร หากมองว่าเป็นการโจมตี คงเลือกที่เรื่องส่วนตัวไม่ใช่เรื่องแบบนี้ ส่วนเรื่องของหลักฐานของฝั่งครูปรีชา ที่อาจมีไม้เด็ดหรือหลักฐานพิเศษ ทนายตั้ม บอกว่า ตนเองไม่ห่วงแม้แต่นิด เพราะที่ผ่านมาตนท้าทายมาตลอด หากฝั่งครูมีหลักฐานก็ให้เอามาเปิดเผยตลอด แต่ก็ไม่เคยเห็นมีอะไรออกมา ซึ่งทางครู ออกมาพูดตลอดว่า จะขอนำหลักฐานไปยื่นต่อศาลทีเดียวนั้น ตนมองว่า ขณะนี้สังคมกำลังเข้าใจว่า ครูไม่ใช่เจ้าของหวย ดังนั้นครูควรเอาหลักฐานที่ว่านั้นออกมาต่อสู้อย่างเปิดเผย เพื่อให้ตนเองพ้นมลทิน ไม่ต้องรอถึงศาลก็ได้ หากจะแสดงความบริสุทธิ์ใจก็ควรนำออกมา ขณะที่ความคืบหน้าการยื่นเรื่องต่อศาล ขอให้มีการเพิกถอนการอายัดเงินที่ขึ้นรางวัลที่ 1 จำนวน 30 ล้านบาทไปแล้วนั้น ทนายษิทรา ยังบอกอีกว่า อยู่ในขั้นตอนของการเตรียมหลักฐาน คาดว่าในเดือนนี้คงจะยื่นได้เลย แต่ยังติดที่การรวบรวมพยานเท่านั้น และการยื่นเป็นสิทธิ์ที่สามารถทำได้ แต่จะได้รับการอนุญาต หรือไม่อย่างไรนั้น ขึ้นอยู่กับศาลเป็นผู้พิจารณา

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ข่าวที่ได้รับความสนใจ