(17 ก.ย. 2568) ทนายอนันต์ชัย ไชยเดช ประธานมูลนิธิทนายกองทัพธรรม เปิดเผยถึงกรณี พระวัดดังจังหวัดปทุมธานี ที่กำลังมีประเด็นเกี่ยวกับเงินจำนวน 12.2 ล้านบาท ว่า เมื่อวานนี้ทางทนายของวัดได้มีการแถลงข่าว และมีประโยคหนึ่งที่พูดว่า "เป็นเงินบริจาค โดยไวยาวัจกรเป็นคนเบิกเงิน จากนั้นจะโอนเข้าบัญชีของสีกาที่เยอรมัน ก่อนที่จะโอนต่อไปที่สมาคมและมูลนิธิที่อยู่เยอรมัน ตรงนี้สามารถตรวจสอบได้" แต่หากไปดูข้อกฎหมาย ตามกฎกระทรวงการดูแลรักษาและจัดการศาสนสมบัติของวัด ปี พ.ศ. 2511 การจัดการเงินของวัดจะต้องเอาเงินเข้าบัญชี และวัดจะมีเงินสดเก็บไว้ไม่เกิน 3,000 บาทต่อปี (แต่ฉบับปี 2564 ได้ไม่เกิน 1 แสนบาทต่อปี) นอกจากนั้นจะต้องเอาเงินเข้าบัญชี และในการเปิดบัญชีและทำธุรกรรม จะมี 2 คน ที่สามารถทำได้คือเจ้าอาวาสและไวยาวัจกร
จึงตั้งข้อสังเกตว่าวัดได้มีการทำบัญชีดังกล่าวหรือไม่ และเงินจำนวน 12.2 ล้านบาท เป็นเงินที่ได้จากที่ไหนมา แต่ในวันนี้เรามีพยานหลักฐานที่ได้มา แต่ทางเจ้าอาวาสอ้างว่า เงินที่โอนก้อนแรกจำนวน 6 ล้านเป็นเงินพี่สาว ส่วนเงินก้อนอื่นตามหลักฐานเป็นเงินของวัด ส่วนจะเบิกถอนเงินตรงนี้ก็จะต้องมีที่มาที่ไป รวมถึงการทำบัญชีรายรับรายจ่าย
การโอนเงินจำนวน 12.2 ล้านของวัด มาเข้าบัญชีสีกาที่เยอรมัน แล้วโอนต่อไปที่มูลนิธิหรือสมาคม โดยหลักแล้วถือว่าผิด เพราะมูลนิธิหรือสมาคมเป็นนิติบุคคล แม้ว่าทนายของวัดจะบอกว่าเงินดังกล่าวทำไปเพื่อวัตถุประสงค์ในการทำกิจกรรม ก็ถือว่าผิดตามกฎกระทรวงอยู่ดี รวมถึงการที่ตัวเองมีอำนาจในการเบิกจ่ายแล้วเงินเข้าบัญชีตัวเองก็เข้าเงื่อนไขกฎหมายการฟอกเงิน อย่างไรก็ตามตรงนี้ทางวัดจะต้องชี้แจงเจตนากับตำรวจ ปปป. ส่วนเรื่องที่จะให้ทางตำรวจไปตรวจสอบมูลนิธิที่อยู่เยอรมันนั้น ก็คงทำไม่ได้ เนื่องจากเป็นเรื่องนอกราชอาณาจักร
โดยในวันศุกร์นี้ ตนจะเดินทางไปกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อนำหลักฐานไปร้องทุกข์กล่าวโทษเพิ่มเติม ให้มีการตรวจสอบเส้นทางการเงินของวัดทั้งหมด ตั้งแต่ก่อตั้งวัดมาจนถึงปัจจุบัน ว่ามีการดำเนินการถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ "ทั้งนี้ตนมั่นใจ 100% ในคดีนี้ยังไงก็ไม่รอด" ส่วนประเด็นที่มีการเปิดเผยถึงสีกาคนสนิทกับเจ้าอาวาส ว่ามีการนำเงินไปซื้อรถและทะเบียน เรื่องนี้ก็มั่นใจว่าตำรวจปปป. สามารถตรวจสอบและดำเนินคดีเอาผิดได้เช่นเดียวกัน
ขณะที่ น.ส.ทองใหม่ ขวัญหมื่น หรือ ทนายอุ้ม ทนายความของสีกาที่เยอรมัน ยืนยันว่า ที่ออกมาแจ้งความ ไม่ได้ผิดใจกับทางเจ้าอาวาส และยินดีเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมายของไทย หากตัดสินแล้วว่าเป็นผู้ร่วมกระทำผิด และพร้อมกลับมาไทยเพื่อรับผิดชอบ ส่วนขบวนการดังกล่าวทราบว่ามีทั้งหมดประมาณ 9 คนรวมเจ้าอาวาส ส่วนประเด็นที่หลายคนตั้งข้อสงสัยว่า การกระทำผิดเกิดขึ้นนอกราชอาณาจักร จะทำให้เจ้าอาวาสหลุดพ้นคดีหรือไม่นั้น ตนมองว่าเหตุเกิดเริ่มจากประเทศไทย เจ้าหน้าที่ตำรวจก็สามารถตรวจสอบดำเนินคดีได้อย่างแน่นอน
Advertisement