ผู้สื่อข่าวได้รับการร้องเรียนกับ 2 ผัวเมียที่มีอาชีพเก็บของเก่าขาย ว่า เขามีรถกระบะเก่าๆอยู่ 1 คัน เอาไว้บรรทุกของไปขาย วันหนึ่งรถเกิดพังด้วยอาการเครื่องยนต์ไม่มีกำลังขับเคลื่อน จึงเอารถไปซ่อมที่อู่ เจ้าของอู่บอกราคาค่าซ่อม บอกแค่ว่าไม่เกิน 60,000 บาท หลังใช่เวลาซ่อมนานถึง 5 เดือนรถก็เสร็จ พาเจ้าของรถไปรับรถ ทางเจ้าของอู่คิดเงิน 89,740บาท เจ้าของรถก็ตกใจว่าทำไมราคาแพง แต่ด้วยเหตุจำเป็นต้องใช้รถ จึงหาเงินมาจ่ายจนครับ แล้วก็เอารถออกมา อันนี้ก็ว่าตกใจแล้ว แต่ที่ตกใจมากกว่านั้นคือ เจ้าของรถใช้รถได้เพียง 1 เดือนกว่า รถเกิดเครื่องยนต์พังอยู่บนทางด่วน จึงรีบโทรศัพท์ไปหาความรับผิดชอบจากอู่ซ่อมรถ ทางอู่กลับปฏิเสธรับผิดชอบ บอกให้เอารถเข้ามาดู แต่ทุกอย่างต้องมีค่าใช้จ่ายนะ
นายพิเชษฐ์ พิศนอก อายุ 57 ปี เจ้าของรถยนต์ คนนี้คือผู้เสียหายที่มาร้องกับเรา ได้เล่าให้ฟังว่า ตนกับภรรยามีอาชีพรับซื้อของเก่า มีรถยนต์กระบะคันเก่า อายุ 17 ปีแล้ว แต่ก็คอยดูแลรักษาเปลี่ยนอะไหล่เครื่องยนต์อยู่ตลอดเวลา ต่อมาเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2567 ระหว่างที่ตนขับรถไปรับซื้อของเก่า รถได้มีเสียงดัง “ แต๊ก แต๊ก” จากบริเวณเครื่องยนต์ รถเร่งเครื่องได้ช้าลง และก็มีควันขาวออกมาตรงฝากระโปรงรถ ตนจึงจอดรถเข้าข้างทาง และเรียกรถสไลด์นำรถมาเก็บที่บ้าน เพราะตนยังไม่มีเงินซ่อมรถ ระหว่างที่รถตนเองจอดเสียอยู่ที่บ้าน เพื่อนที่รับซื้อของเก่าด้วยกันได้แนะนำอู่ที่อยู่จังหวัดนครปฐม บอกว่าสามารถผ่อนจ่ายอาทิตย์ละ 10,000 บาทได้
เห็นแบบนั้นจึงโทรศัพท์ไปพูดคุยกับเจ้าของอู่ ทางเจ้าของอู่ก็บอกว่าให้เอารถมาดูก่อน ถึงจะบอกราคาซ่อมได้ หลังเอารถเข้าไปที่อู่ได้ 5 วัน ทางเจ้าของอู่ได้โทรศัพท์กลับมาบอกว่า ได้รื้อเครื่องยนต์ออกหมดแล้ว รถมีอาการหัวฉีดพัง เครื่องยนต์พัง ค่าซ่อมไม่เกิน 60,000 บาท ตนเห็นว่าผ่อนได้ บวกกับทางอู่ได้รื้อเครื่องออกมาแล้ว จึงตกลงยินยอมให้ซ่อม แต่ทางอู่ไม่ยอมซ่อมให้ หากไม่ให้เงิน 20,000 บาทก่อนเป็นงวดแรก ตนจึงยอมหาเงินจ่ายให้ไป จากนั้นไม่กี่วัน ทางอู่ได้ขอเบิกเงินอีก 30,000 บาท แม่ตนจึงเอาที่นาไปจำนองเอาเงินไปจ่ายให้อู่ แต่ตนมีข้อแม้ว่า อีก 10,000 บาทไว้จ่ายตอนรถเสร็จเท่านั้น แต่ทางอู่ก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา
จากนั้นผ่านไป 5 เดือน รถยังซ่อมไม่เสร็จ ช่วงที่รถตนซ่อมอยู่ ตนต้องเช่ารถวันละ 1,000 บาทเพื่อไปหารับซื้อของเก่ามาขาย ตอนนั้นชีวิตลำบากมาก ต่อมาวันที่ 25 ธันวาคม 2567 อู่ซ่อมรถเสร็จ ได้เรียกให้ไปเอารถ และแจ้งมาในบิลว่า ค่าซ่อมรถทั้งหมด 89,740 บาท ตนก็ทักท้วงไปว่า ไหนบอกไม่เกิน 60,000 บาทไง
ตนจึงขอลดราคา แต่ทางเจ้าของอู่ไม่ยอมลดให้ ให้จ่ายราคาเต็มเท่านั้น ถ้าไม่จ่ายก็ไม่ให้เอารถออก ตนจึงไปกู้เงินเพื่อนบ้านมาอีก 40,000 บาท เพื่อจะได้จบเรื่อง เอารถออกมาทำมาหากิน หลังเอารถออกมาใช้ได้เพียงหนึ่งเดือนกว่า วันนั้นเป็นวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568 ระหว่างที่ตนเองขับรถไปบริเวณทางด่วนมอเตอร์เวย์ รถกลับเร่งเครื่องเองด้วยความแรง ตนจึงเข้าเกียร์ว่าง และนำรถเข้าช่องทางด้านซ้าย แล้วปิดกุญแจรถ แต่รถก็ยังเร่งเครื่องเองอยู่ ไม่ยอมดับ ตอนนั้นควันรถสีขาวเต็มถนนไปหมด ทั้งหน้าและด้านหลัง รถคันหลังต่างมองไม่เห็นทาง ตนกับครอบครัวจึงพากันวิ่งหนีออกให้ห่างจากรถ เพราะทำอะไรไม่ถูก กลัวรถที่มองไม่เห็นทางจะพุ่งมาชน ต่อมารถได้น็อกเครื่องยนต์ดับไปเอง ตนจึงยกรถกลับมาไว้ที่บ้าน และติดต่อไปยังอู่ซ่อมรถ แต่ได้คำตอบจากเจ้าของอู่ว่า สาเหตุที่รถพังจากเทอร์โบ ให้เอารถเข้ามาซ่อม แต่ต้องมีค่าใช้จ่ายนะ ทางอู่ตัดความรับผิดชอบ
ตนจึงคิดว่าครั้งที่แล้วก็ดองรถตนเองไว้นานถึง 5 เดือน แถมค่าซ่อมก็แพงมาก ครั้งนี้ตนเองจะเสียเงินอีกเท่าไหร่ ตนจึงอยากขอความช่วยเหลือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้เข้ามาตรวจสอบทางอู่แห่งนี้ทีว่าสิ่งที่อู่คิดเงินค่าซ่อมรถตนไปนั้น ตรงกับความเป็นจริงหรือไม่
หลังผู้สื่อข่าวได้ดูบิลการซ่อมรถแล้ว พบว่า รถไม่ได้มีการเปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่แต่อย่างใด แต่เป็นการเปลี่ยนอะไหล่บางชิ้นเท่านั้น และเป็นการซ่อมส่วนอื่นที่ไม่เกี่ยวกับเครื่องยนต์ พอเราถามเจ้าของรถว่าได้ให้เขาซ่อมรายการอื่นไหม เจ้าของรถบอกไม่ได้บอกให้ทำเลย ให้ทำแต่เครื่องยนต์.
Advertisement