
ขโมยของบริจาค-ยักยอกเงิน แรงจูงใจทางจิตวิทยาที่ทำลายความศรัทธา สร้างบาปกรรมบนความเดือดร้อนของผู้คน
ท่ามกลางวิกฤตและความเดือดร้อนของประชาชนที่เกิดจากสถานการณ์น้ำท่วมอย่างหนัก แต่ก็ยังมีเรื่องมิจฉาชีพที่เหมือนเป็นเคราะห์ซ้ำกรรมซัดประชาชนมาอีกระลอก ทั้งการขโมยของบริจาค ยักยอกเงินบริจาคที่มาจากแรงศรัทธาเพื่อช่วยคนที่กำลังเดือดร้อน ซึ่งการขโมย/ยักยอกเงินหรือทรัพย์สินที่ประชาชนบริจาคเพื่อสาธารณประโยชน์หรือการกุศล ไม่ใช่แค่การลักทรัพย์ทั่วไป แต่เป็นการโจมตีโดยตรงต่อความไว้วางใจสาธารณะ และทำลายความรู้สึกดีที่ผู้บริจาคได้รับจากการทำความดี (Warm-Glow) อย่างร้ายแรง
ในทางจิตวิทยาและเศรษฐศาสตร์พฤติกรรม การบริจาคมักได้รับแรงจูงใจจากปรากฏการณ์ที่เรียกว่า Warm-Glow ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทฤษฎีความเห็นแก่ผู้อื่นที่ไม่บริสุทธิ์ (Impure Altruism) ผู้บริจาคไม่ได้สนใจเพียงผลลัพธ์หรือประโยชน์ที่ผู้รับได้รับอย่างเดียว แต่ยังได้รับความสุขหรือรางวัลทางอารมณ์ภายในทันทีหลังการให้
ดังนั้น การขโมยทรัพย์สินบริจาคจึงมิใช่แค่การลักทรัพย์ทั่วไป แต่เป็นการโจมตีโดยตรงต่อรากฐานทางศีลธรรมของสังคม และเป็นการทำลายรางวัลทางอารมณ์ภายใน ที่ผู้บริจาคได้รับอย่างร้ายแรง เมื่อมีการทุจริตหรือฉ้อโกงเกิดขึ้น ความสุขจากการให้ย่อมถูกแทนที่ด้วยความผิดหวังและความไม่ไว้วางใจ ซึ่งสร้างความเสียหายเชิงจิตวิญญาณและสังคมในวงกว้าง นอกเหนือจากความเสียหายทางการเงินที่เกิดขึ้นกับผู้รับบริจาค
ในทางกฎหมายอาญาของประเทศไทย การขโมยเงินหรือทรัพย์สินบริจาคสามารถเข้าข่ายความผิดหลายฐาน ขึ้นอยู่กับพฤติการณ์ของการกระทำ และสถานะของผู้กระทำความผิด การจำแนกความแตกต่างระหว่างการลักทรัพย์และการยักยอกทรัพย์เป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากบ่งชี้ถึงการทรยศต่อความไว้วางใจในระดับที่แตกต่างกัน
โทษทางโลก
ความผิดฐานยักยอกทรัพย์แตกต่างจากการลักทรัพย์ เนื่องจากเกิดขึ้นเมื่อผู้กระทำผิด ครอบครองทรัพย์สินโดยชอบด้วยกฎหมายอยู่ก่อนแล้ว (เช่น เป็นเจ้าหน้าที่การเงิน, ผู้ดูแล) แต่กลับเบียดบังเอาทรัพย์นั้นไปเป็นของตนเองโดยทุจริต มักเข้าข่ายความผิดฐานยักยอก โดยแบ่งระดับความรุนแรงของโทษดังนี้
ยักยอกทรัพย์ทั่วไป (ม. 352)
โทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 60,000 บาท คดีนี้เป็นคดีอาญาที่สามารถยอมความกันได้ เนื่องจากเป็นความผิดซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายต่อเอกชนคนหนึ่งคนใดเป็นส่วนตัว มิได้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐหรือสังคมโดยตรง
ยักยอกทรัพย์ในฐานะผู้ดูแลทรัพย์ (ม. 353)
โทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 60,000 บาท สำหรับผู้ที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลทรัพย์สิน เช่น เจ้าหน้าที่การเงินขององค์กรการกุศล
ยักยอกในฐานะผู้จัดการตามคำสั่งศาลหรือพินัยกรรม (ม. 354)
โทษหนักขึ้นเป็นจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท เช่น ผู้จัดการมรดกนำทรัพย์มรดกที่ถูกบริจาคไปเป็นของตน
2. บาปกรรมทางธรรม
ทรัพย์สาธารณะมีผลกรรมที่รุนแรงในทางพุทธศาสนา การลักทรัพย์ (อทินนาทาน) โดยเฉพาะทรัพย์สินบริจาค ถือเป็น กรรมหนักที่มีวิบากกรรมรุนแรงที่สุด หากทรัพย์สินบริจาคจัดเป็น สังฆิกทรัพย์ (ทรัพย์สินของสงฆ์โดยรวม) หรือ อเนกชนสาทารณะ (ทรัพย์สาธารณะของมหาชน) การขโมยทรัพย์ที่มีเจ้าของคือมวลชนหรือพระสงฆ์ทั้งโลก จึงเชื่อกันว่ามีผลกรรมหนักกว่าการลักทรัพย์ส่วนตัว
ในมิติทางพุทธศาสนา การขโมยเงินบริจาคถือเป็นกรรมหนักที่ก่อให้เกิดวิบากกรรมรุนแรง ซึ่งหลักธรรมได้กำหนดความรุนแรงของบาปกรรมจากการลักทรัพย์โดยพิจารณาจากความเป็นเจ้าของและความบริสุทธิ์ของทรัพย์สินนั้น หลักการของอทินนาทาน (การลักทรัพย์) ในศีลข้อที่ 2 คือ อทินนาทานา เวรมณี (เจตนาเว้นจากการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของมิได้ให้)
พระมหากันทรากร ธมฺมปโภ แห่งศูนย์พุทธศาสตร์ศึกษา DCI จ.พระนครศรีอยุธยา ตอบคำถามในหัวข้อ ขโมยเงินของคนอื่น บาปไหม ? โดยระบุว่า การลักทรัพย์จะสำเร็จเป็นกรรมบถ (การกระทำที่มีผลกรรมถึงภพหน้า) ต้องประกอบด้วย 5 องค์ประกอบ ได้แก่ ทรัพย์มีเจ้าของ, รู้ว่าทรัพย์มีเจ้าของ, มีเจตนาขโมย (เบียดเบียน), พยายามขโมย, และขโมยได้สำเร็จ
ผู้ที่ผิดศีลข้อ 2 เชื่อกันว่าจะได้รับวิบากกรรมหนักในวัฏสงสาร เช่น การตกนรก หรือหากเกิดเป็นมนุษย์จะมีฐานะยากจน ทรัพย์สินเสียหายได้ง่าย
คำถามที่สำคัญทางจิตวิทยาคือ เหตุใดบุคคลจึงกล้าขโมยทรัพย์สินที่มีจุดประสงค์เพื่อช่วยเหลือผู้อื่น ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ขัดแย้งกับบรรทัดฐานทางสังคมอย่างรุนแรง และพบคำตอบว่าพฤติกรรมนี้เกิดจากกลไกทางจิตวิทยาที่เรียกว่า การหลุดพ้นทางจริยธรรม (Moral Disengagement) ควบคู่ไปกับแรงจูงใจเชิงสถานการณ์ที่รุนแรง
Moral Disengagement (MD) เป็นแนวคิดที่นำเสนอโดยนักจิตวิทยา Albert Bandura อธิบายถึงกระบวนการทางความคิดที่บุคคลปิดการทำงานของการกำกับตนเองทางศีลธรรม (Moral Self-regulation) เพื่อให้สามารถกระทำความผิดโดยที่ยังคงรักษาภาพลักษณ์ตนเองว่าเป็นคนดี หรือไม่ได้ทำผิดร้ายแรง
การที่บุคคลกล้าขโมยทรัพย์สินบริจาคซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือผู้ที่เปราะบางที่สุดในสังคม สะท้อนถึงแรงจูงใจที่ซับซ้อนและหลากหลาย ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทหลัก ดังนี้
ความจำเป็นทางเศรษฐกิจ
ในหลายกรณี โดยเฉพาะการขโมยขนาดเล็ก เกิดจากความสิ้นหวังทางการเงิน หรือความเครียดจากหนี้สินในชีวิตประจำวัน
พยาธิสภาพทางจิต เช่น โรคชอบขโมย (Kleptomania)
สำหรับบางคน การขโมยไม่ได้เกิดจากความอยากได้เงิน แต่เป็นภาวะผิดปกติของการควบคุมแรงกระตุ้น ที่ไม่สามารถต้านทานความอยากขโมยได้ แม้จะรู้ว่าผิด และมักจะรู้สึกผิดอย่างมากหลังการกระทำ
Kleptomania เป็นความผิดปกติของการควบคุมแรงกระตุ้น ที่ทำให้บุคคลไม่สามารถต้านทานแรงกระตุ้นอันทรงพลังในการขโมยสิ่งของที่โดยทั่วไปแล้วไม่จำเป็นต่อตนเอง และมักมีมูลค่าเพียงเล็กน้อย เนื่องจากเป็นภาวะทางการแพทย์ ไม่ใช่ความบกพร่องทางจิตใจหรือการขาดความยับยั้งชั่งใจ การรักษาจึงต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต โดยอาจใช้ยาหรือการบำบัดที่เน้นการจัดการแรงกระตุ้น
เป็นความผิดปกติทางสุขภาพจิตที่เกิดจากการที่ไม่สามารถต้านทานแรงกระตุ้นที่จะขโมยสิ่งของ ที่ปกติแล้วคุณไม่ได้ต้องการได้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า บ่อยครั้งที่สิ่งของที่ถูกขโมยไปนั้นมีมูลค่าเพียงเล็กน้อยเป็นภาวะที่พบได้น้อยแต่สามารถเป็นอาการที่ร้ายแรงได้ หากไม่ได้รับการรักษา โรคนี้อาจสร้างความเจ็บปวดทางอารมณ์อย่างมากให้กับคุณและคนที่คุณรัก และอาจนำไปสู่ปัญหาทางกฎหมายได้
สิ่งของที่ถูกขโมยมักจะถูกเก็บไว้เป็นความลับ ไม่ได้ใช้ สิ่งของเหล่านี้อาจถูกบริจาค มอบให้ครอบครัวหรือเพื่อนฝูง หรือแม้แต่ถูกส่งคืนไปยังสถานที่ที่ถูกขโมยอย่างลับๆ
การฉ้อโกงโดยอาศัยโอกาส
ผู้ที่กล้าทุจริตเงินจำนวนมหาศาลที่ตั้งใจไว้เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยหรือผู้ยากไร้ มักแสดงให้เห็นถึงระดับความเห็นอกเห็นใจ (Empathy) ที่ต่ำกว่าเกณฑ์ อาชญากรรมประเภทนี้เป็นการกระทำที่จงใจ ละเมิดความไว้วางใจตามมาตรา 354 และสะท้อนถึงการคำนวณผลประโยชน์ส่วนตัวที่อยู่เหนือประโยชน์ส่วนรวม
การขโมยทรัพย์สินบริจาคเพื่อสาธารณประโยชน์ ถือเป็นอาชญากรรมที่สร้างความเสียหายในหลายระดับชั้น ทั้งทางโลก ทางธรรม และทางจิตวิทยา การแก้ไขปัญหาการทุจริตเงินบริจาคอย่างยั่งยืน ต้องอาศัยการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวด การสร้างระบบที่โปร่งใสในการจัดการเงิน และสำหรับผู้ที่กระทำความผิดจากภาวะทางจิต (Kleptomania) ควรได้รับการรักษาด้วยการบำบัดเพื่อจัดการแรงกระตุ้นควบคู่ไปกับการลงโทษ
Advertisement