Family Therapy บำบัดครอบครัว เรื่องปกติในโลกตะวันตก แต่อาจยังไม่คุ้นในสังคมที่สอนให้อดทน=กตัญญู?
ในสังคมตะวันตก การไปพบ นักบำบัดครอบครัว (Family Therapist) เพื่อพูดคุย ปรับความเข้าใจ หรือเยียวยาบาดแผลทางใจระหว่างสมาชิกในบ้าน เป็นเรื่องปกติพอ ๆ กับการไปหาหมอฟัน
แต่ในสังคมไทย ถ้าใครบอกว่าจะ “ไปบำบัดครอบครัว” อาจถูกขมวดคิ้ว หรือเกิดคำถาม ไปทำไม แค่ปัญหาลิ้นกับฟัน
ความต่างนี้สะท้อนรอยต่อบางอย่างระหว่าง “วิธีคิดเรื่องสุขภาพจิต” ของโลกสมัยใหม่ กับ “กรอบวัฒนธรรมครอบครัวไทย” ที่ยังคงมีรากจากความเชื่อเรื่องหน้าที่ บทบาท และความอดทน
Family Therapy หรือ “การบำบัดครอบครัว” คือแนวทางการเยียวยาทางจิตใจที่มองว่า ครอบครัวไม่ใช่เพียงกลุ่มคนที่อยู่ร่วมบ้าน แต่เป็น “ระบบความสัมพันธ์” ที่ทุกคนเชื่อมโยงกันเหมือนเส้นใยประสาทในสมอง ถ้าส่วนใดส่วนหนึ่งเจ็บปวด ส่วนอื่นก็จะได้รับผลสะเทือน
ต่างจากจิตบำบัดทั่วไปที่เน้นรักษาปัญหาของคนใดคนหนึ่ง Family Therapy จะพาทุกคนในบ้านมานั่งร่วมวงกัน เพื่อเข้าใจว่าปัญหานั้นเกิดขึ้นได้อย่างไรในบริบทของความสัมพันธ์ เช่น ลูกที่ต่อต้านอาจสะท้อนความรู้สึกไร้อำนาจในบ้าน หรือพ่อแม่ที่ทะเลาะกันบ่อยอาจเกิดจากการไม่เข้าใจกันในระดับอารมณ์ที่ลึกกว่าคำพูด
นักบำบัดจึงไม่ใช่ “ผู้พิพากษา” ว่าใครผิด แต่เป็น “ผู้นำทาง” ที่ช่วยให้ครอบครัวกลับมามองเห็นกัน ฟังกัน และค่อย ๆ เยียวยากันด้วยความเข้าใจ
ในประเทศอย่างสหรัฐฯ แคนาดา หรือยุโรป การบำบัดครอบครัวเป็นบริการสุขภาพจิตกระแสหลักมานานกว่า 50 ปี มีการเรียนเฉพาะทางในระดับปริญญาโท–เอก ภายใต้สาขา Marriage and Family Therapy (MFT)
การไปบำบัดไม่ได้แปลว่าครอบครัว “พัง” แต่คือการดูแลสุขภาพจิตของระบบครอบครัวให้สมดุล เช่นเดียวกับที่คนออกกำลังกายเพื่อป้องกันโรคหัวใจ การเข้าบำบัดก็เพื่อ “ป้องกัน” การสะสมของความไม่เข้าใจ ซึ่งหากปล่อยไว้นานอาจกลายเป็นความร้าวลึก
ในสังคมเหล่านี้ พ่อแม่คู่หนึ่งอาจพาลูกวัยรุ่นไปคุยกับนักบำบัดเพื่อหาวิธีพูดกันโดยไม่ทะเลาะ คู่รักอาจเข้ารับการบำบัดก่อนแต่งงานเพื่อเตรียมใจสำหรับการอยู่ร่วม หรือแม้แต่ครอบครัวที่มีสมาชิกป่วยทางจิต เช่น ภาวะซึมเศร้า ก็จะมีการทำบำบัดร่วมทั้งบ้าน เพื่อเรียนรู้วิธีสนับสนุนกันโดยไม่กดดัน
ในวัฒนธรรมไทย “ความทุกข์ในครอบครัว” มักถูกมองว่าเป็นเรื่องส่วนตัว เป็นสิ่งที่ต้องอดทนหรือเก็บไว้ในบ้าน การพูดถึงปัญหาพ่อแม่หรือลูกกับคนแปลกหน้าอาจถูกมองว่า “ไม่ให้เกียรติ” หรือ “ไม่รู้จักกตัญญู”
อีกด้านหนึ่ง ครอบครัวไทยจำนวนมากยังมีโครงสร้างแนวดิ่ง พ่อแม่คือผู้ตัดสิน ลูกคือผู้ฟัง ทำให้การบำบัดซึ่งต้องอาศัยการสื่อสารอย่างเท่าเทียมดู “ขัดวัฒนธรรม” อยู่ลึก ๆ แม้จะไม่ได้ตั้งใจขัดขืนก็ตาม
นอกจากนี้ สังคมไทยยังขาดระบบสนับสนุนทางจิตวิทยาอย่างเป็นรูปธรรม นักบำบัดครอบครัวที่ได้รับการอบรมตามมาตรฐานยังมีไม่มาก และการเข้ารับบริการมักอยู่ในเขตเมืองใหญ่หรือในคลินิกเอกชน ทำให้ครอบครัวส่วนใหญ่ไม่รู้แม้กระทั่งว่ามีบริการนี้อยู่จริง
หนึ่งในสิ่งที่นักบำบัดครอบครัวพบเสมอคือ “ความเงียบ” บ้านที่เงียบเพราะไม่กล้าพูดถึงปัญหา กลายเป็นบ้านที่เต็มไปด้วยความเข้าใจผิดสะสม คนรุ่นหนึ่งส่งต่อความเงียบและบาดแผลทางใจให้คนรุ่นต่อมาโดยไม่รู้ตัว
การบำบัดครอบครัวจึงไม่ได้หมายถึงการเปิดแผลเพื่อโทษกัน แต่เพื่อ “ทำให้แผลนั้นได้รับการรักษา” เพื่อให้มันหายจริง ไม่ใช่เพียงการปิดทับด้วยคำว่า “ไม่เป็นไร”
• โรงพยาบาลและคลินิกเอกชน
• สถานพยาบาลของรัฐ เช่น โรงพยาบาลรามาธิบดี โรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข
นอกจากนี้ยังสามารถติดต่อ สายด่วนสุขภาพจิต 1323 เพื่อขอคำแนะนำและข้อมูลสถานบำบัดที่ใกล้เคียงได้
โดยทั่วไปการบำบัดแต่ละครั้งจะใช้เวลาประมาณ 1 – 1.5 ชม. ส่วนต้องใช้การบำบัดจำนวนกี่ครั้ง หรือ ใช้ระยะเวลายาวนานเท่าไรนั้นขึ้นกับความซับซ้อนของปัญหาของแต่ละครอบครัว แต่โดยส่วนใหญ่มักจะมากกว่า 1 ครั้ง
บำบัดครอบครัวไม่ใช่เรื่องของคนอ่อนแอ แต่คือความกล้าที่จะรักษาความสัมพันธ์ ในสังคมไทย เรามักชื่นชมคนที่ “อดทน” แต่ในทางจิตวิทยา ความกล้าที่จะยอมรับว่าครอบครัวเรามีสิ่งที่ต้องเยียวยา คือสัญญาณของความเข้มแข็งที่สุดรูปแบบหนึ่ง เพราะมันต้องอาศัยทั้งความซื่อสัตย์ ความเปิดใจ และความรัก Family Therapy จึงไม่ใช่เรื่องของ “คนมีปัญหา” แต่มันคือการเรียนรู้ศิลปะแห่งการอยู่ร่วมกันในโลกที่ซับซ้อนขึ้นทุกวัน
Advertisement