หลายคนเข้าใจว่าถ้าเรา “ไม่ติดเค็ม" ก็คงไม่เสี่ยง "โรคไต" แต่ความจริงแล้วสิ่งที่ทำร้ายไตเราอย่าง “โซเดียม” กลับซ่อนอยู่ในอาหารไม่เค็มหลายอย่าง ทั้งในขนมปังหรือกุนเชียงที่แทบไม่มีรสเค็ม หรือแม้แต่ชานมไข่มุกและเยลลี่
องค์การอนามัยโลกแนะนำให้ผู้ใหญ่บริโภคโซเดียมไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน แต่การศึกษาพบว่าคนไทยส่วนใหญ่กลับกินโซเดียมมากถึง 3,600–3,700 มิลลิกรัมต่อวัน หรือเกินเกือบเท่าตัว สะท้อนถึงความไม่รู้ในเรื่องโซเดียมที่ซ่อนอยู่ในอาหาร ทำให้หลายคนเป็นโรคไตไม่รู้ตัว และกว่าจะรู้ตัวก็ตอนที่โรคไตเข้าสู่ระยะรุนแรงจนสายเกินแก้
พญ.ฉมานันท์ สัจจานนท์ อายุรแพทย์โรคไต ศูนย์อายุรกรรม รพ.วิมุต เผยความอันตรายของโรคไต และแหล่งที่มาของโซเดียมที่เราไม่เคยรู้ พร้อมเทคนิคง่ายๆ ในการลดโซเดียมเพื่อปกป้องไตของเราให้แข็งแรง
ไตเป็นอวัยวะสำคัญที่ช่วยกรองของเสีย ช่วยควบคุมระดับน้ำและเกลือแร่ในร่างกาย ภาวะที่เรียกว่า 'โรคไต' จึงหมายถึงการที่ไตทำงานผิดปกติ ซึ่งแบ่งการวินิจฉัยออกเป็น 2 แบบ คือ การตรวจพบความผิดปกติของไต เช่น มีนิ่วหรือถุงน้ำในไต สภาพไตผิดปกติจากการอัลตราซาวนด์โปรตีนรั่วในไต เม็ดเลือดแดงและขาวรั่วออกมาจากปัสสาวะ เป็นต้น
ส่วนอีกแบบคือเมื่อตรวจพบว่าอัตราการการกรองของเสียของไต (eGFR) ต่ำกว่า 60 ต่อเนื่องเกิน 3 เดือน ซึ่งค่านี้อาจจะลดลงเมื่อร่างกายได้รับโซเดียมมากเกินไปจนเลือดเสียสมดุล ทำให้เรากระหายน้ำและดื่มน้ำมากขึ้น พอน้ำและโซเดียมไปสะสมในเลือดมากจะทำให้ความดันโลหิตสูง ส่งผลให้ไตทำงานหนักจนหน่วยกรองไต (glomerulus) ถูกยืดและเสื่อมลง ทำให้ค่า eGFR ลดต่ำลงเรื่อย ๆ จนกระทบสุขภาพ
โรคไตที่วัดจากค่า eGFR แบ่งออกเป็น 5 ระยะ โดยระยะที่ 1 จะมีค่า eGFR เกิน 90 ระยะที่ 2 จะมีค่า eGFR อยู่ในช่วง 60–90 ซึ่งยังไม่นับว่าเป็นโรคไตเสื่อม เป็นการบ่งบอกว่าไตเริ่มทำงานผิดปกติ แต่มักไม่ทำให้เกิดอาการชัดเจน ทว่าเมื่อเข้าสู่ระยะที่ 3 ซึ่งค่า eGFR จะลดลงต่ำกว่า 60 อาจจะเริ่มเกิดอาการผิดปกติ เช่น ตัวบวม ปัสสาวะเริ่มมีฟอง หรือปวดศีรษะรุนแรง จากความดันโลหิตสูง หากปล่อยให้ลุกลามจนถึงระยะที่ 4–5 ที่มีค่า eGFR ต่ำกว่า 30 อาจทำให้ไตเสียหายถาวร โดยผู้ป่วยอาจปัสสาวะออกน้อยลง ตัวบวมเรื้อรัง อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร มีอาการสับสนหรือซึม ถ้าปล่อยไว้ไม่รักษาอาจมีน้ำท่วมปอด หรือความดันโลหิตสูงเฉียบพลัน ซึ่งนำไปสู่ภาวะหัวใจวายหรือเส้นเลือดสมองแตกได้
หลายคนเข้าใจอาหารที่มีโซเดียมต้องมีรสเค็ม แต่โซเดียมเป็นเพียงส่วนประกอบในเกลือหรือเครื่องปรุงรสที่เรียกว่าโซเดียมคลอไรด์ หากโซเดียมไปรวมกับสารอื่น ๆ อาจไม่ทำให้เกิดรสเค็ม แต่ก็ยังมีผลเสียต่อร่างกายเหมือนเดิม โดยตัวอย่างของอาหารที่มีโซเดียมแต่อาจไม่มีรสเค็ม ได้แก่ ขนมปังและเบเกอรี่ที่ใส่ผงฟูหรือโซเดียมไบคาร์บอเนต อาหารแปรรูปอย่างไส้กรอกหรือกุนเชียงที่ใช้โซเดียมไนไตรท์เพื่อถนอมอาหาร หรือของหวานพวกชานมไข่มุกและเยลลี่ที่มีสารทำให้เหนียวหนึบอย่างโซเดียมอัลจิเนต และสุดท้ายคืออาหารกระป๋องและน้ำผลไม้กล่องที่มีโซเดียมเบนโซเอตเป็นสารกันบูด เป็นต้น
กลุ่มเสี่ยงโรคไตที่ต้องระวังเป็นพิเศษ ได้แก่ ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคไต โดยเฉพาะโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม เช่น โรคถุงน้ำในไตหรือนิ่วในไต ส่วนอีกกลุ่มคือผู้ที่เป็นโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง เพราะหากควบคุมโรคไม่ได้ ไตต้องกรองน้ำตาลหรือรับแรงดันสูงเกินไปจนเสื่อมเร็วขึ้น "ในกลุ่มเด็กและวัยรุ่นที่กินขนมขบเคี้ยวหรือฟาสต์ฟู้ดบ่อย ๆ ก็มักได้รับโซเดียมเกินจำเป็น คือมากกว่า 1,000 มก. สำหรับเด็ก และ 1,500 มก. สำหรับวัยรุ่น แม้ร่างกายเด็กจะฟื้นตัวได้ดีกว่า แต่การสะสมโซเดียมตั้งแต่อายุยังน้อยก็เป็นตัวเร่งให้ไตเสื่อมในระยะยาว ส่วนอีกกลุ่มที่ต้องระวังคือผู้สูงอายุ เพราะร่างกายซ่อมแซมได้ช้าลงและมักมีโรคร่วมหลายอย่าง จึงต้องควบคุมการกินให้ดีกว่าเดิม" พญ.ฉมานันท์ สัจจานนท์ อธิบาย
สัญญาณเตือนของโรคไตที่ไม่ควรมองข้าม ได้แก่ ปัสสาวะมีฟองมากขึ้น ตื่นมาปัสสาวะบ่อยกลางดึก ปัสสาวะออกน้อยลงหรือมีสีผิดปกติ เช่น สีน้ำตาลเข้มคล้ายน้ำปลาและน้ำอัดลม นอกจากนี้หากมีอาการบวม โดยเฉพาะการบวมที่เมื่อกดบริเวณหน้าแข้งหรือหลังเท้าไว้ 3–5 วินาทีแล้วเกิดรอยบุ๋มไม่คืนรูป รวมถึงอาการบวมรอบดวงตาหรือใบหน้า ก็เป็นสัญญาณเตือนว่าร่างกายอาจมีโซเดียมหรือน้ำส่วนเกินสะสมมากเกินไป จึงควรไปพบแพทย์เพื่อรักษาทันที
โรคไตจะรักษาตามสาเหตุและระยะของโรค หากตรวจพบค่า eGFR ผิดปกติไม่เกินระยะที่ 3 และไม่ได้ต่อเนื่องเกิน 3 เดือน ยังสามารถรักษาตามอาการและควบคุมโรค เช่น คุมความดันโลหิตและเบาหวานให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ รวมถึงการปรับพฤติกรรมการกินและการใช้ชีวิตเพื่อลดภาระการทำงานของไต แต่ถ้าพบค่า eGFR เข้าสู่ระยะที่ 4-5 อาจต้องเข้าสู่การบำบัดทดแทน เช่น การฟอกไต ซึ่งมีทั้งการฟอกทางเลือดและการล้างไตทางช่องท้อง และในบางรายอาจต้องปลูกถ่ายไตเพื่อให้กลับมาใช้ชีวิตใกล้เคียงปกติที่สุด
“หลายคนเป็นโรคไตเพราะไม่รู้ว่าอาหารที่กินอยู่ทุกวันมีโซเดียมมากกว่าที่คิด ดังนั้นอยากให้เริ่มลดโซเดียมวิธีง่าย ๆ ด้วยการไม่เติมเครื่องปรุงเพิ่ม ไม่ซดน้ำซุปจนหมด เน้นกินอาหารสดแทนข้าวกล่องหรืออาหารแปรรูป และดื่มน้ำระหว่างวันให้เพียงพอเพื่อช่วยขับโซเดียม ที่สำคัญ อย่าลืมตรวจสุขภาพเป็นประจำ เพราะถ้าพบความผิดปกติตั้งแต่เนิ่น ๆ ยังมีโอกาสรักษาไตให้กลับมาแข็งแรงได้เสมอ” พญ.ฉมานันท์ สัจจานนท์ กล่าวทิ้งท้าย
Advertisement