นอนเยอะแต่ยังเพลีย? เพราะไม่ได้ ‘หลับลึก’ จริง ๆ เข้าใจวงจรการนอน และวิธีพักผ่อนให้ร่างกายฟื้นตัวอย่างแท้จริง
หลายคนคงเคยเจอประสบการณ์ตื่นสาย นอนเต็มอิ่ม 9–10 ชั่วโมง แต่กลับยังรู้สึกเหมือนร่างกายแบตหมด สมองตื้อ อ่อนเพลีย หรือแม้กระทั่งปวดหัวตอนเช้า ทั้งที่เชื่อกันมาตลอดว่า “นอนเยอะ = พักผ่อนเพียงพอ” ความจริงแล้ว “ปริมาณชั่วโมงการนอน” ไม่ได้บอกอะไรเกี่ยวกับคุณภาพการนอนเลย
สิ่งที่ร่างกายและสมองต้องการคือ “การนอนที่มีคุณภาพ” โดยเฉพาะ ช่วงหลับลึก (deep sleep) และ ช่วงหลับฝัน (REM sleep) ที่ช่วยฟื้นฟูสมองและร่างกาย
ปัญหาของคนยุคใหม่คือ เราอาจนอนเยอะแต่ไม่เคย “หลับสนิท” จริง ๆ เพราะถูกรบกวนจากพฤติกรรม การใช้ชีวิต หรือโรคบางชนิด ทำให้แม้นอนนาน ร่างกายก็ไม่ได้พัก
หลายงานวิจัยด้านเวชศาสตร์การนอน (Sleep Medicine) ยืนยันตรงกันว่า คุณภาพสำคัญกว่าปริมาณ การนอน 6 ชั่วโมงที่หลับลึกและต่อเนื่อง อาจสดชื่นกว่าการนอน 9 ชั่วโมงที่ตื่นบ่อยหรือกรนทั้งคืน
ปริมาณการนอน คือ จำนวนชั่วโมงที่เรานอนจริง ๆ
คุณภาพการนอน คือ การที่ร่างกายได้เข้าสู่ทุกช่วงของวงจรการนอนครบถ้วน และนอนต่อเนื่องโดยไม่ถูกรบกวน
WHO และ National Sleep Foundation แนะนำให้ผู้ใหญ่ควรนอน 7–9 ชั่วโมง แต่หากนอนแล้วตื่นมารู้สึกสดชื่น มีสมาธิ แสดงว่าคุณภาพการนอนดี ไม่จำเป็นต้องนอนเกินกว่านั้น
การนอนหลับแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่
1. NREM (Non-Rapid Eye Movement Sleep)
• ระยะที่ 1: ง่วง เริ่มเข้าสู่การนอน หลับตื้น
• ระยะที่ 2: ร่างกายเริ่มผ่อนคลาย การรับรู้สิ่งแวดล้อมลดลง
• ระยะที่ 3 (Deep sleep): เป็นช่วงที่สมองช้าลงมาก ร่างกายซ่อมแซม ฟื้นฟูระบบภูมิคุ้มกัน ฮอร์โมนเจริญเติบโตหลั่งออกมา
2. REM (Rapid Eye Movement Sleep)
• เป็นช่วงที่สมองทำงานใกล้เคียงตอนตื่น เกิดความฝัน จัดเก็บความจำระยะยาว เชื่อมโยงข้อมูลใหม่กับประสบการณ์เดิม
การนอนคุณภาพดีต้องสลับผ่าน NREM และ REM หลายรอบในคืนหนึ่ง (โดยเฉลี่ย 4–6 รอบ) หากวงจรนี้ถูกขัดจังหวะ เช่น ตื่นบ่อย หรือมีโรคขัดขวาง คุณจะไม่รู้สึกสดชื่นแม้นอนทั้งคืน
• ตื่นเช้าแล้วยังง่วงเหมือนไม่ได้นอน
• ปวดหัวหรือสมองตื้อหลังตื่น
• ง่วงกลางวันมากจนหลับในระหว่างทำงาน
• ขี้หงุดหงิด อารมณ์แปรปรวน
• ไม่มีสมาธิหรือจำอะไรได้น้อยลง
• ต้องพึ่งกาแฟหรือเครื่องดื่มชูกำลังตลอดเวลา
1. ภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ (Sleep Apnea) – หยุดหายใจเป็นช่วง ๆ ทำให้สมองขาดออกซิเจน ร่างกายสะดุ้งตื่นโดยไม่รู้ตัว
2. โรคนอนกรน – ก่อให้เกิดการตื่นย่อย (micro-arousal) ตลอดคืน
3. โรคกรดไหลย้อน (GERD) – กรดไหลย้อนขึ้นมาระหว่างนอน ทำให้สะดุ้งตื่น
4. โรคซึมเศร้าและวิตกกังวล – สมองไม่สามารถเข้าสู่การพักผ่อนลึกได้
5. ภาวะขาอยู่ไม่สุข (Restless Legs Syndrome) – ทำให้ร่างกายไม่หลับสนิท
• ใช้มือถือหรือคอมพิวเตอร์ก่อนนอน → แสงสีฟ้ากดการหลั่งเมลาโทนิน
• ดื่มกาแฟ ชา หรือแอลกอฮอล์ใกล้เวลานอน
• เข้านอนเวลาไม่สม่ำเสมอ ร่างกายปรับวงจรยาก
• นอนในห้องที่มีแสง เสียง หรืออุณหภูมิไม่เหมาะสม
การนอนเยอะแต่ไม่มีคุณภาพทำให้เสี่ยง
• สมองเสื่อม ความจำถดถอยเร็วขึ้น
• โรคหัวใจและความดันโลหิตสูง
• โรคอ้วนและเบาหวาน จากการเสียสมดุลฮอร์โมน
• ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ติดเชื้อง่าย
• ภาวะซึมเศร้าและความผิดปกติทางอารมณ์
1. นอนเป็นเวลา – เข้านอนและตื่นให้ตรงเวลาแม้วันหยุด
2. ปิดจอมือถืออย่างน้อย 1 ชั่วโมงก่อนนอน
3. จัดห้องนอนให้น่านอน – มืด เงียบ อุณหภูมิ 24–26 องศา
4. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ – แต่หลีกเลี่ยงก่อนนอน 2 ชั่วโมง
5. ลดคาเฟอีนหลังบ่ายสอง
6. งีบสั้น ๆ หากง่วง แต่ไม่เกิน 20 นาที
7. หากสงสัยโรคการนอน เช่น กรนหนักหรือหยุดหายใจ ควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางการนอน
“นอนเยอะ” ไม่ใช่คำตอบของการพักผ่อนที่แท้จริง หากแต่ “นอนลึกและนอนต่อเนื่อง” ต่างหากที่ร่างกายต้องการ การเข้าใจวงจรการนอน รู้จักสัญญาณเตือน และปรับพฤติกรรมให้เหมาะสม จะช่วยให้ตื่นเช้ามาพร้อมพลังและสมองที่สดชื่น
Advertisement