ทำไมบางคนถึงเชื่อ “เฟกนิวส์” อย่างสนิทใจ? ไม่ใช่ความโง่ล้วนๆ แต่มันคือสมอง + สังคม + ระบบ
ในยุคที่ข้อมูลหลั่งไหลอย่างมหาศาลตลอด 24 ชั่วโมง ข่าวสารเดินทางด้วยความเร็วผ่านปลายนิ้ว หลายคนพบว่า “ความจริง” กลับกลายเป็นสิ่งที่สับสนยากจะจับต้อง โดยเฉพาะเมื่อ “ข่าวปลอม” หรือที่เรียกกันว่า “เฟกนิวส์ (Fake News)” กระจายไปไวและถูกแชร์มากกว่าข่าวจริงหลายเท่าตัว
เรามักเผลอตีตรา “คน” หรือ “กลุ่มคน” เหล่านั้นว่า “ต้องโง่แน่ๆ” แต่ความจริงคือ การเชื่อเฟกนิวส์ไม่ใช่เรื่องของความโง่เพียงอย่างเดียว หากแต่มันเป็นผลลัพธ์ของปัจจัยหลายอย่างที่ซับซ้อน ตั้งแต่การทำงานของสมอง กลไกทางจิตวิทยา บริบทสังคม เทคโนโลยี ไปจนถึงพฤติกรรมของสื่อและอัลกอริทึม
แม้เราจะคิดว่าตนเองเป็น “สัตว์มีเหตุผล” (Rational Animal) แต่ความจริงคือ สมองของเราถูกออกแบบให้ “เอาตัวรอด” มากกว่า “หาความจริง”
1.1 Confirmation Bias – เชื่อในสิ่งที่อยากเชื่อ
มนุษย์มีแนวโน้มเชื่อสิ่งที่ “สอดคล้องกับความเชื่อเดิม” มากกว่าสิ่งที่ขัดแย้ง แม้สิ่งนั้นจะมีหลักฐานรองรับดีกว่า
ตัวอย่างเช่น
หากเรามีความเชื่อว่าการฉีดวัคซีนไม่ปลอดภัย เราจะเลือกเชื่อข่าวปลอมเกี่ยวกับอันตรายของวัคซีน มากกว่าข่าวที่อธิบายถึงความปลอดภัยด้วยข้อมูลจาก WHO หรือหน่วยงานวิจัยระดับโลก
1.2 Cognitive Ease – สิ่งคุ้นเคยดูน่าเชื่อกว่าสิ่งใหม่
สมองมนุษย์มีแนวโน้มจะ “เชื่อ” ข้อมูลที่เห็นบ่อย เพราะความคุ้นเคยทำให้เรารู้สึกสบายใจ ข้อมูลที่เห็นซ้ำๆ จึงถูกตีความว่า “น่าจะจริง” แม้ไม่มีหลักฐานใดๆ
เช่น ข่าวลือเกี่ยวกับนักการเมืองคนหนึ่งว่าคอร์รัปชัน อาจไม่มีหลักฐานเลย แต่ถ้าเห็นแชร์ซ้ำๆ ผ่านหลายเพจ หลายกลุ่ม คนก็เริ่มเชื่อว่า “น่าจะจริง”
1.3 Pattern Recognition – สมองชอบ “โยงเรื่องราว”
มนุษย์ถูกออกแบบให้มองหา “รูปแบบ” เพื่อเข้าใจโลกและเอาตัวรอด ดังนั้น บางครั้งสมองจึงสร้าง “เรื่องราวปลอม” ที่ฟังดูสมเหตุสมผลแม้จะไม่จริง
2.1 ข่าวที่กระตุ้นอารมณ์ = แชร์ง่ายกว่า
งานวิจัยจาก MIT พบว่า ข่าวปลอมถูกแชร์มากกว่าข่าวจริงถึง 6 เท่า โดยเฉพาะข่าวที่กระตุ้น “ความโกรธ ความกลัว ความตกใจ” เพราะระบบประสาทของเราตอบสนองเร็วมากกับข้อมูลที่เป็นภัยหรือทำให้รู้สึก “ไม่ปลอดภัย” มันคือกลไกเอาตัวรอดดั้งเดิมของมนุษย์
2.2 Sense of Control – เฟกนิวส์ให้ความรู้สึกว่า “ควบคุมได้”
คนจำนวนมากรู้สึกไม่มั่นคงในโลกที่สับสนและซับซ้อน การเชื่อทฤษฎีสมคบคิดหรือข่าวปลอมช่วยให้พวกเขา “รู้สึก” ว่าตัวเองเข้าใจโลกนี้ได้
3.1 Echo Chamber : โลกที่มีแต่เสียงของฝั่งเดียว
ในโซเชียลมีเดีย เรามักติดตามคนที่คิดคล้ายกับเรา ทำให้เห็นแต่ข้อมูลที่ “สอดคล้อง” กับความเชื่อเดิม จนกลายเป็นห้องเสียงสะท้อน (Echo Chamber) ที่ไม่มีใครคัดค้าน
ถ้าคุณเชื่อว่าวัคซีนอันตราย และคุณอยู่ในกลุ่มคนที่เชื่อเหมือนกัน คุณจะได้รับข้อมูลเพียงด้านเดียว และรู้สึกว่า “ทุกคนก็เชื่อเหมือนกัน”
3.2 อัลกอริทึม = ป้อนสิ่งที่คุณอยากเห็น ไม่ใช่สิ่งที่จริง
Facebook, YouTube, TikTok ใช้อัลกอริทึมแสดงเนื้อหาที่ “เรามีแนวโน้มจะชอบ” ไม่ใช่เนื้อหาที่เป็นกลาง
ผลคือ หากคุณเริ่มสนใจทฤษฎีสมคบคิด ระบบจะแสดงเนื้อหาแนวนี้มากขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายกลายเป็น “โลกแห่งข่าวปลอม” โดยที่คุณไม่รู้ตัว
4.1 คนจำนวนมากไม่แยกแยะแหล่งข่าว
การศึกษาในหลายประเทศพบว่า คนจำนวนมากไม่สามารถแยกแยะได้ว่า “เว็บไซต์ไหนน่าเชื่อถือ” หรือ “แหล่งข่าวไหนปลอม”
บางคนเห็น URL แปลกๆ เช่น “health-now-news.org” แล้วคิดว่าเป็นขององค์การอนามัยโลก ทั้งที่ไม่เกี่ยวข้องเลย
4.2 พาดหัว Clickbait หลอกคนได้ง่าย
พาดหัวที่เขียนอย่างเร้าอารมณ์และชวนเข้าใจผิดถูกออกแบบมาให้คน “กดเข้าไป” หรือ “แชร์ทันที” โดยไม่อ่านเนื้อหา
เช่น “ด่วน! นักวิทยาศาสตร์ช็อก! วัคซีนอันตรายกว่าที่คิด” – พอเข้าไปอ่าน กลับไม่มีข้อมูลจริงรองรับเลย
5.1 แรงกดดันทางสังคม = แชร์ตามกลุ่ม
บางคนแชร์ข่าวปลอมเพราะกลัวว่า “จะไม่อินเทรนด์” หรือ “กลัวโดนมองว่าไม่รู้เรื่อง” ในกลุ่มเพื่อนหรือครอบครัว
เช่น ในกลุ่มไลน์ครอบครัวมีคนแชร์ข่าวว่า “ดื่มน้ำมะนาวป้องกันโควิด” แล้วคนอื่นๆ ก็แชร์ต่อโดยไม่ได้ตรวจสอบ เพราะเชื่อว่า “คุณป้าคงเช็กแล้ว”
5.2 การศึกษาไม่ได้สอน Critical Thinking การคิดเชิงวิพากษ์
ระบบการศึกษาหลายประเทศรวมถึงไทย มักเน้นการท่องจำ ไม่ได้ฝึกให้คนคิดเชิงวิพากษ์ หรือแยกแยะข้อมูลจริง-เท็จ
คนที่มีการศึกษาสูงก็อาจเชื่อข่าวปลอมได้ หากไม่ได้รับการฝึกให้ “ตั้งคำถาม”
แม้เราจะคิดว่าคนเชื่อเฟกนิวส์คือคนไม่ฉลาด แต่งานกลับพบว่า
• คนที่มีการศึกษาดี ก็สามารถ “ตกเป็นเหยื่อ” ได้เช่นกัน โดยเฉพาะถ้ามีอคติทางการเมือง
• คนที่เชี่ยวชาญบางเรื่อง (เช่น วิศวกร) อาจคิดว่าตนเองเข้าใจทุกเรื่อง แม้จะไม่มีความรู้ด้านสุขภาพหรือสื่อสารมวลชน เรียกอคติแบบนี้ว่า Overconfidence Bias ความมั่นใจเกินเหตุ
7.1 ไม่มีมาตรการควบคุมที่มีประสิทธิภาพ
แม้หลายแพลตฟอร์มจะมีนโยบายต่อต้านเฟกนิวส์ แต่ความเร็วในการแพร่กระจายและจำนวนเนื้อหามหาศาล ทำให้ยากต่อการควบคุม
7.2 ข่าวปลอมทำเงินได้มาก
ข่าวปลอมมักถูกสร้างเพื่อคลิก-วิว-โฆษณา หรือเพื่อสร้างอิทธิพลทางการเมือง มีแรงจูงใจทางการเงินมหาศาลอยู่เบื้องหลัง
“การเชื่อเฟกนิวส์” ไม่ได้สะท้อนถึงความโง่ แต่สะท้อนถึงการทำงานของสมองมนุษย์, อารมณ์, เทคโนโลยี, และบริบททางสังคม
เราอยู่ในโลกที่ข่าวปลอมกระจายเร็วและแรงกว่าข่าวจริง อัลกอริทึมไม่รู้จัก “ความจริง” และอารมณ์ของมนุษย์ก็ง่ายต่อการถูกจูงใจ
ทางรอดเดียวคือการสร้างสังคมที่มีทักษะรู้เท่าทันสื่อ และยอมรับว่า “ความจริง” ต้องอาศัยความพยายามมากกว่าคลิกเดียว
อ้างอิง
- Stanford History Education Group. (2016). Evaluating Information: The Cornerstone of Civic Online Reasoning
- Fake news: Why do we believe it?
- Why do People Fall for Fake News?
- https://cclickthailand.com
Advertisement