ร้อนใน แผลในปาก เพราะดื่มน้ำน้อย? ทาเกลืออัดลงไปบนแผลทำให้หายเร็วขึ้น จริงหรือ? ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ วิธีป้องกันแผลร้อนในซ้ำซาก
แผลร้อนใน หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า "แผลในปาก" เป็นภาวะที่พบได้บ่อยในทุกเพศทุกวัย หลายคนอาจเคยมีประสบการณ์รู้สึกเจ็บแปลบเมื่อพูด กิน หรือดื่ม โดยเฉพาะเมื่อสัมผัสกับอาหารรสจัดหรือเปรี้ยว แผลร้อนในแม้จะดูเป็นเรื่องเล็ก แต่ก็ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตในแต่ละวันไม่น้อย และในบางกรณีอาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพที่ลึกซึ้งกว่านั้น
หนึ่งในความเชื่อที่แพร่หลายในหมู่คนไทยคือ "แผลร้อนในเกิดจากการดื่มน้ำน้อย" ซึ่งแม้จะมีส่วนจริง แต่ก็ไม่ใช่ปัจจัยเดียว
1. ภาวะเครียด : ความเครียดส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย เมื่อภูมิคุ้มกันลดลง ร่างกายมีแนวโน้มเกิดการอักเสบ รวมถึงในเยื่อบุช่องปาก
2. ภูมิคุ้มกันต่ำ : เช่นในผู้ที่เป็นโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง โรคลูปัส หรือผู้ที่ได้รับยาเคมีบำบัด
3. ขาดวิตามินและแร่ธาตุ : โดยเฉพาะวิตามิน B1, B2, B6, B12, โฟเลต และธาตุเหล็ก
4. ฮอร์โมนแปรปรวน : ผู้หญิงบางรายจะเป็นแผลร้อนในก่อนมีประจำเดือน
5. การกัดปากหรือกระแทก : การเผลอกัดริมฝีปากหรือกระแทนฟันระหว่างการแปรงฟันก็สามารถทำให้เกิดแผลได้
6. อาหาร : อาหารที่มีรสจัด เปรี้ยวจัด หรือเผ็ดจัด อาจกระตุ้นให้แผลในปากเกิดหรือรุนแรงขึ้น
7. การแพ้ : เช่น แพ้ยาสีฟันที่มีสารโซเดียมลอริลซัลเฟต (SLS)
8. ภาวะขาดน้ำ : แม้ไม่ใช่สาเหตุหลัก แต่การดื่มน้ำน้อยทำให้เยื่อบุในช่องปากแห้ง และอาจทำให้แผลร้อนในเกิดขึ้นได้ง่ายขึ้น
แผลร้อนในมีลักษณะเฉพาะที่สามารถแยกแยะจากแผลในช่องปากชนิดอื่นได้
ลักษณะแผล
• เป็นแผลตื้น รูปวงกลมหรือวงรี
• มีขอบสีแดงและตรงกลางแผลเป็นสีขาวขุ่นหรือเหลืองนวล
• ขนาดมักไม่เกิน 1 เซนติเมตร
• มักพบในตำแหน่งที่ไม่มีฟัน เช่น ด้านในกระพุ้งแก้ม ริมฝีปากด้านใน ลิ้น เพดานอ่อน หรือใต้ลิ้น
อาการร่วม
• เจ็บแสบขณะพูดหรือกินอาหาร
• มีอาการตึงหรือเจ็บเล็กน้อยก่อนเกิดแผลประมาณ 1-2 วัน
• ไม่มีไข้ (เว้นแต่แผลเกิดจากการติดเชื้อไวรัส)
ระยะเวลา
• อาการโดยทั่วไปจะหายภายใน 7–14 วันโดยไม่ต้องรักษา
แม้แผลร้อนในส่วนใหญ่จะหายได้เอง แต่ก็มีบางกรณีที่อาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคอื่นที่ร้ายแรงกว่า เช่น
1. โรคมะเร็งช่องปาก : หากแผลมีขนาดใหญ่ ขอบไม่เรียบ มีเลือดออก หรือไม่หายเกิน 3 สัปดาห์ ควรพบแพทย์
2. โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง : แผลร้อนในที่เรื้อรังหรือติดเชื้อซ้ำบ่อย อาจเป็นสัญญาณของโรคเช่น HIV หรือ SLE
3. ภาวะขาดสารอาหารเรื้อรัง : อาจสะท้อนถึงปัญหาทางเดินอาหารหรือโรคโลหิตจาง
ในกรณีที่แผลร้อนในไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนต่อไปนี้ได้
1. การติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน : ทำให้แผลลุกลาม เจ็บรุนแรง และมีกลิ่นเหม็น
2. เบื่ออาหาร : เนื่องจากความเจ็บปวด อาจทำให้รับประทานอาหารได้น้อยลง
3. ร่างกายขาดสารอาหาร : หากเป็นบ่อยและกินอาหารได้น้อย อาจนำไปสู่ภาวะโภชนาการบกพร่อง
4. แผลลุกลามกลายเป็นแผลเรื้อรัง : หากมีการระคายเคืองซ้ำ
1. หลีกเลี่ยงอาหารกระตุ้น เผ็ดจัด เปรี้ยวจัด เค็มจัด หรือกรอบแข็ง
2. ดื่มน้ำให้เพียงพอ อย่างน้อย 6–8 แก้วต่อวัน
3. บ้วนปากด้วยน้ำเกลืออุ่น ช่วยลดการอักเสบและฆ่าเชื้อ
4. รับประทานอาหารอ่อน เช่น โจ๊ก ซุป หรืออาหารเย็น
5. หลีกเลี่ยงการกัดหรือกระแทนบริเวณแผล
6. ยารักษาแผลร้อนใน สามารถปรึกษาเภสัชที่ร้านขายยาได้
การใช้น้ำเกลือบ้วนปากถือเป็นวิธีรักษาที่มีหลักฐานรองรับในทางการแพทย์ เนื่องจาก
• น้ำเกลือมีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย : ช่วยลดจำนวนเชื้อในช่องปาก
• ช่วยลดการอักเสบ : ทำให้แผลลดขนาดเร็วขึ้น
• กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด : ส่งผลให้เซลล์ฟื้นฟูได้เร็วขึ้น
อย่างไรก็ตาม ไม่ควรใช้เกลือป้ายหรืออัดลงไปบนแผล วิธีนี้ไม่ช่วยให้แผลหายแต่อย่างใดมีแต่จะเพิ่มความแสบ ทรมาน ระคายเคืองมากขึ้น
แม้แผลร้อนในจะหายเองได้ แต่หากมีบ่อยหรือเป็นซ้ำ ควรมีมาตรการป้องกัน ดังนี้
1. รับประทานอาหารครบ 5 หมู่ : โดยเฉพาะผักและผลไม้
2. เสริมวิตามิน B และธาตุเหล็ก : เช่น จากธัญพืช ตับ ไข่แดง ถั่ว
3. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ : อย่างน้อยวันละ 7–8 ชั่วโมง
4. ลดความเครียด : ด้วยการออกกำลังกายหรือฝึกสมาธิ
5. เปลี่ยนยาสีฟัน : หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มี SLS มีรายงานพบว่า ยาสีฟันที่มีสาร SLS นั้น เป็นปัจจัยสำคัญเลยที่ส่งผลให้เกิดแผลในปากซ้ำแล้วซ้ำอีก
6. หลีกเลี่ยงการกัดหรือกระแทก : เช่น การเคี้ยวอาหารเร็วเกินไป
แผลร้อนในแม้ไม่ใช่โรคร้ายแรง แต่ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน ทั้งในด้านความเจ็บปวด คุณภาพชีวิต และการบริโภคอาหาร แม้จะมีสาเหตุหลากหลาย แต่การดูแลสุขภาพโดยรวมให้ดี โดยเฉพาะการพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำมากพอ รับประทานอาหารมีประโยชน์ และลดความเครียด สามารถลดความถี่ของการเกิดแผลร้อนในได้อย่างชัดเจน และหากแผลร้อนในมีลักษณะผิดปกติ ควรพบแพทย์เพื่อประเมินอาการโดยละเอียด
Advertisement