ล้มครั้งเดียวอาจเปลี่ยนชีวิต วัย "ผู้สูงอายุ" ยิ่งต้องระวัง เพราะมีโอกาสสูงพิการติดเตียง หรือเสียชีวิต แนะวิธีจัดบ้านให้ปลอดภัย แนวทางการดูแล กาย-ใจ เพื่อการฟื้นตัวได้เร็วขึ้น
การล้มในผู้สูงอายุถือเป็นปัญหาสำคัญด้านสาธารณสุขที่ไม่ควรมองข้าม เพราะไม่เพียงแต่จะก่อให้เกิดบาดเจ็บทางร่างกายเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อสุขภาพจิตและคุณภาพชีวิตโดยรวมอย่างมาก
สถิติจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า การล้มเป็นสาเหตุการบาดเจ็บอันดับต้นๆ ในผู้สูงอายุ และเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่งจากอุบัติเหตุในกลุ่มอายุ 65 ปีขึ้นไป
ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ระบุว่า ปัญหา "พลัด-ตก-หก-ล้ม" ยังเป็นหนึ่งในภัยสุขภาพที่แฝงอยู่กับพฤติกรรมการใช้ชีวิตของผู้สูงอายุในแต่ละวัน และเป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้คนจำนวนไม่น้อยต้องอยู่ในภาวะพึ่งพิง
สถิติในปี 2565 พบว่ามีผู้ป่วยใน (IPD) จากการพลัดตกหกล้มสูงถึง 9 หมื่นคน และมีผู้ที่พลัดตกหกล้มเป็นประจำ เฉลี่ยปีละ 3 ล้านคน
1. กระดูกหัก โดยเฉพาะกระดูกสะโพก
ผู้สูงอายุมักมีภาวะกระดูกพรุน ทำให้กระดูกเปราะบางมากกว่าคนทั่วไป การล้มเพียงครั้งเดียวอาจส่งผลให้กระดูกสะโพกหัก ซึ่งมักต้องผ่าตัดและเข้ารับการฟื้นฟูยาวนาน โดยผู้ที่กระดูกสะโพกหักราว 20-30% จะเสียชีวิตภายใน 1 ปี และหลายคนไม่สามารถกลับไปเดินได้เหมือนเดิม
2. บาดเจ็บที่ศีรษะ
การล้มที่ศีรษะกระแทกพื้นอาจทำให้เกิดเลือดออกในสมอง โดยเฉพาะในผู้ที่ใช้ยาละลายลิ่มเลือดหรือมีโรคประจำตัว เช่น ความดันโลหิตสูง หากไม่ได้รับการรักษาทันเวลา อาจนำไปสู่ภาวะสมองเสียหายถาวรหรือเสียชีวิต
3. ภาวะกลัวการล้มซ้ำ
หลังจากล้ม ผู้สูงอายุจำนวนมากจะรู้สึกกลัว ไม่กล้าเคลื่อนไหว ทำให้ขาดการออกกำลังกายและการเคลื่อนไหวตามปกติ ส่งผลให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง การทรงตัวแย่ลง และยิ่งเสี่ยงล้มมากขึ้น
4. ผลกระทบทางจิตใจและสังคม
การล้มอาจทำให้ผู้สูงอายุรู้สึกว่าตนเองเป็นภาระ รู้สึกสูญเสียความมั่นใจในตนเอง นำไปสู่ภาวะซึมเศร้า การแยกตัวจากสังคม และคุณภาพชีวิตที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด
• การเสื่อมของกล้ามเนื้อ ข้อต่อ และการทรงตัวตามวัย
• สายตาพร่ามัว หรือมีปัญหาการมองเห็น เช่น ต้อกระจก
• โรคประจำตัว เช่น พาร์กินสัน เบาหวาน หรืออัลไซเมอร์
• การใช้ยาบางชนิดที่มีผลข้างเคียง เช่น เวียนศีรษะ ง่วงนอน
• สภาพแวดล้อมในบ้านที่ไม่ปลอดภัย เช่น พื้นลื่น ของวางเกะกะ แสงสว่างไม่เพียงพอ
• ปรับปรุงบ้านให้ปลอดภัย เช่น ติดราวจับในห้องน้ำ ห้องนอน พื้นไม่ลื่น เก็บของให้เป็นระเบียบ และมีแสงสว่างเพียงพอ
• ตรวจสุขภาพเป็นประจำ โดยเฉพาะการตรวจสายตา หู และระบบประสาท
• ส่งเสริมการออกกำลังกาย เช่น การเดิน โยคะ ไทชิ หรือการบริหารกล้ามเนื้อ เพื่อเพิ่มความแข็งแรงและการทรงตัว
• เลือกใช้อุปกรณ์ช่วยเดิน อย่างถูกต้อง เช่น ไม้เท้า วอล์กเกอร์
• ใช้รองเท้าที่เหมาะสม ควรเป็นรองเท้าพื้นยางกันลื่น สวมใส่กระชับ
• ให้ความรู้แก่ครอบครัวและผู้ดูแล เพื่อรู้เท่าทันความเสี่ยง และสามารถช่วยป้องกันการล้มได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แนวทางเบื้องต้นสำหรับครอบครัวและผู้ดูแล
การล้มในผู้สูงอายุถือเป็นเรื่องร้ายแรงที่ต้องให้ความใส่ใจเป็นพิเศษ เพราะอาจก่อให้เกิดการบาดเจ็บทั้งทางร่างกายและจิตใจ แม้บางครั้งดูเหมือนไม่มีอาการรุนแรงในทันที แต่ผลกระทบอาจเกิดขึ้นในภายหลัง การดูแลผู้สูงอายุที่ล้มแล้วจึงควรดำเนินอย่างรอบคอบ และครอบคลุมทั้งการปฐมพยาบาล การตรวจเช็กร่างกาย รวมถึงการฟื้นฟูสุขภาพในระยะยาว
1. ประเมินอาการเบื้องต้นหลังล้ม
• อย่ารีบพยุงขึ้นทันที ให้ถามผู้สูงอายุว่าเจ็บตรงไหน หายใจปกติหรือไม่ สามารถขยับแขนขาได้หรือไม่
• สังเกตอาการผิดปกติ เช่น ศีรษะกระแทก มีเลือดออก ปวดอย่างรุนแรง แขนขาผิดรูป หรือหมดสติ
• หากสงสัยกระดูกหักหรือศีรษะได้รับการกระแทก ควรเรียกรถพยาบาลทันที ห้ามเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโดยไม่มีอุปกรณ์ที่เหมาะสม
2. การดูแลภายหลังจากการล้ม
หากแพทย์วินิจฉัยว่าไม่มีอาการรุนแรง แต่ยังคงมีอาการปวดหรือบวม สามารถดูแลต่อเนื่องได้ดังนี้
• ประคบเย็นในช่วง 24–48 ชั่วโมงแรก เพื่อลดบวมและอาการอักเสบ
• ให้พักผ่อนอย่างเหมาะสม หลีกเลี่ยงการเคลื่อนไหวที่อาจทำให้อาการแย่ลง
• ใช้ยาแก้ปวดภายใต้คำแนะนำของแพทย์
• ดูแลสุขภาพจิตใจ ให้กำลังใจ ไม่ตำหนิ เพราะผู้สูงอายุจำนวนมากจะรู้สึกผิดหรือกลัวการล้มซ้ำ
3. การฟื้นฟูร่างกายหลังจากอุบัติเหตุ
การล้มอาจทำให้ผู้สูงอายุสูญเสียความมั่นใจ การฟื้นฟูจึงไม่ใช่แค่ทางกายภาพเท่านั้น แต่ต้องครอบคลุมจิตใจด้วย
• ทำกายภาพบำบัด โดยนักกายภาพบำบัดมืออาชีพ เพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อและการทรงตัว
• เริ่มต้นจากกิจกรรมเบา ๆ เช่น เดินในที่ราบเรียบ ฝึกพยุงตัว ลุก-นั่ง
• ฝึกสร้างความมั่นใจ เช่น การให้กำลังใจ พูดคุยอย่างเข้าใจ และไม่เร่งรัด
4. ป้องกันไม่ให้ล้มซ้ำ
หลังล้มครั้งหนึ่ง ความเสี่ยงในการล้มซ้ำจะเพิ่มขึ้น จำเป็นต้องมีมาตรการป้องกันอย่างจริงจัง
• ปรับปรุงสภาพแวดล้อมในบ้าน เช่น ติดราวจับในห้องน้ำ
• ใช้พื้นกันลื่น
• เก็บสายไฟหรือของใช้ที่กีดขวางทางเดิน
• เพิ่มแสงสว่างในพื้นที่เสี่ยง
• ตรวจสุขภาพเป็นประจำ โดยเฉพาะสายตา ระบบประสาท และการใช้ยา
• ส่งเสริมกิจกรรมทางกาย อย่างสม่ำเสมอ เช่น โยคะ ไทชิ เพื่อพัฒนาการทรงตัว
• ใช้อุปกรณ์ช่วยเดินอย่างเหมาะสม เช่น ไม้เท้าหรือวอล์กเกอร์
5. การสื่อสารภายในครอบครัว
การดูแลผู้สูงอายุต้องอาศัยความร่วมมือจากทั้งครอบครัว
• พูดคุยด้วยความเข้าใจ หลีกเลี่ยงการตำหนิ
• ให้ผู้สูงอายุรู้สึกว่าตนยังมีคุณค่าและเป็นที่รัก
• สร้างสภาพแวดล้อมที่ผู้สูงอายุรู้สึกปลอดภัยและอุ่นใจ
การล้มในผู้สูงอายุอาจดูเหมือนเรื่องเล็กในบางครั้ง แต่ความเสี่ยงที่แฝงอยู่สามารถส่งผลต่อสุขภาพร่างกาย จิตใจ และคุณภาพชีวิตโดยรวมได้ การดูแลหลังจากล้มอย่างถูกวิธีและต่อเนื่อง ไม่เพียงช่วยให้ผู้สูงอายุฟื้นตัวได้เร็วขึ้น แต่ยังเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำซ้อนอีกในอนาคต
ข้อมูลอ้างอิง
• กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข. (2563) แนวทางการดูแลผู้สูงอายุที่หกล้ม
• มูลนิธิส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุ (2564) แนวทางการฟื้นฟูร่างกายหลังการล้มในผู้สูงวัย
• National Institute on Aging. (2022). Preventing Falls at Home: Tips for Older Adults
• World Health Organization (WHO). (2021). Falls – Key facts
• สำนักโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค. (2564). ภัยเงียบจากการล้มในผู้สูงวัย
Advertisement