เครื่องยนต์โรตารี่ หรือที่รู้จักกันในชื่อ เครื่องยนต์วันเคล (Wankel Engine) ตามชื่อผู้คิดค้น Felix Wankel เป็นเครื่องยนต์สันดาปภายในประเภทหนึ่งที่มีการออกแบบที่แตกต่างจากเครื่องยนต์ลูกสูบทั่วไปอย่างสิ้นเชิง แทนที่จะใช้ลูกสูบที่เคลื่อนที่ขึ้นลงและเพลาข้อเหวี่ยงในการเปลี่ยนการเคลื่อนที่เชิงเส้นเป็นการเคลื่อนที่แบบหมุน เครื่องยนต์โรตารี่ใช้ โรเตอร์รูปสามเหลี่ยมเรโล (Reuleaux triangle) หมุนอยู่ภายในห้องเผาไหม้ที่มีรูปทรงพิเศษ (Epitrochoid) เพื่อสร้างวัฏจักรการทำงานของเครื่องยนต์
หลักการทำงานของเครื่องยนต์โรตารี่
ลองจินตนาการถึงรูปสามเหลี่ยมด้านโค้ง (โรเตอร์) ที่หมุนอยู่ในห้องที่มีผนังโค้งเป็นพิเศษ (เสื้อโรเตอร์) การหมุนของโรเตอร์จะสร้างช่องว่างสามช่องที่เปลี่ยนปริมาตรได้ตลอดเวลา ซึ่งแต่ละช่องว่างจะทำหน้าที่เป็นห้องสำหรับวัฏจักรการทำงานของเครื่องยนต์ 4 จังหวะ ได้แก่
- ดูด (Intake) เมื่อโรเตอร์หมุนไป ตำแหน่งของโรเตอร์จะสร้างช่องว่างที่ขยายตัวขึ้น ดูดเอาส่วนผสมของอากาศและน้ำมันเชื้อเพลิง (หรืออากาศบริสุทธิ์สำหรับเครื่องยนต์ดีเซล) เข้าสู่ห้อง
- อัด (Compression) เมื่อโรเตอร์หมุนไปอีก ช่องว่างจะหดตัวลง ทำให้ส่วนผสมของอากาศและน้ำมันเชื้อเพลิงถูกอัดตัวจนมีแรงดันสูง
- ระเบิด/จุดระเบิด (Ignition/Combustion) ในจังหวะนี้ หัวเทียน (ปกติจะมีสองหัวต่อหนึ่งโรเตอร์) จะจุดประกายไฟเผาไหม้ส่วนผสมที่ถูกอัดตัวอย่างรุนแรง แรงดันจากการเผาไหม้จะผลักโรเตอร์ให้หมุนต่อไป
- คาย (Exhaust) เมื่อโรเตอร์หมุนต่อไปอีก ช่องว่างที่เกิดจากการเผาไหม้จะถูกบีบอัด ทำให้ไอเสียถูกผลักออกจากช่องระบายไอเสีย
กระบวนการทั้ง 4 จังหวะนี้เกิดขึ้นพร้อมกันในช่องว่างทั้งสามของโรเตอร์แต่ละตัว นั่นหมายความว่า ในหนึ่งรอบการหมุนของโรเตอร์ จะเกิดการจุดระเบิดขึ้น 3 ครั้ง (สำหรับโรเตอร์หนึ่งตัว) ซึ่งแตกต่างจากเครื่องยนต์ลูกสูบ 4 จังหวะทั่วไปที่เกิดการจุดระเบิดเพียง 1 ครั้งต่อ 2 รอบการหมุนของเพลาข้อเหวี่ยง
ข้อดีที่โดดเด่นของเครื่องยนต์โรตารี่
ในช่วงแรกที่เปิดตัว เครื่องยนต์โรตารี่ได้รับการยกย่องว่าเป็นนวัตกรรมที่น่าตื่นเต้นด้วยข้อดีหลายประการ
- ขนาดกะทัดรัดและน้ำหนักเบา นี่คือจุดแข็งที่สุดของเครื่องยนต์โรตารี่ ด้วยการออกแบบที่ไม่มีเพลาข้อเหวี่ยง ก้านสูบ และลูกสูบที่เคลื่อนที่ขึ้นลง ทำให้มีชิ้นส่วนที่เคลื่อนไหวในแนวดิ่งน้อยลง และมีขนาดโดยรวมเล็กกว่าเครื่องยนต์ลูกสูบที่มีกำลังเท่ากันอย่างเห็นได้ชัด
- การทำงานที่ราบรื่นและไร้การสั่นสะเทือน เนื่องจากการเคลื่อนที่ของโรเตอร์เป็นการหมุนอย่างต่อเนื่อง ไม่มีการหยุดและเปลี่ยนทิศทางเหมือนลูกสูบ ทำให้การทำงานของเครื่องยนต์โรตารี่มีความราบรื่นและเกิดการสั่นสะเทือนน้อยมากในรอบเครื่องยนต์ที่สูง
- กำลังต่อน้ำหนักสูง ด้วยขนาดที่เล็กและน้ำหนักเบา ทำให้สามารถผลิตกำลังได้สูงเมื่อเทียบกับน้ำหนักของเครื่องยนต์ เหมาะสำหรับรถสปอร์ตที่ต้องการสมรรถนะ
- ชิ้นส่วนที่เคลื่อนไหวน้อยลง ไม่มีวาล์ว สปริงวาล์ว ลูกสูบ ก้านสูบ หรือเพลาข้อเหวี่ยง ทำให้โครงสร้างดูเรียบง่ายกว่า (แม้ว่าการผลิตจะซับซ้อนกว่าในบางแง่มุม)
- รอบเครื่องยนต์สูง สามารถทำรอบเครื่องยนต์ได้สูงมาก เนื่องจากไม่มีข้อจำกัดเรื่องแรงเฉื่อยของลูกสูบที่เปลี่ยนทิศทาง
- เสียงที่เป็นเอกลักษณ์ ให้เสียงเครื่องยนต์ที่แตกต่างและเป็นที่ชื่นชอบของคนรักรถบางกลุ่ม
ทำไมเครื่องยนต์โรตารี่ถึงไม่เป็นที่นิยมมากนัก?
แม้จะมีข้อดีที่น่าสนใจ แต่ข้อเสียหลายประการที่แก้ไขได้ยาก ทำให้เครื่องยนต์โรตารี่ไม่สามารถก้าวขึ้นมาเป็นกระแสหลักในอุตสาหกรรมยานยนต์ได้ และมักถูกจำกัดอยู่ในวงของรถสปอร์ตสมรรถนะสูงเป็นหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Mazda RX-7 และ RX-8 ที่เป็นตัวอย่างที่เด่นชัดที่สุด
- ประสิทธิภาพเชื้อเพลิงต่ำ (Fuel Economy)รูปทรงห้องเผาไหม้ ห้องเผาไหม้ของเครื่องยนต์โรตารี่มีรูปทรงที่ยาวและบาง ทำให้มีพื้นที่ผิวต่อปริมาตรค่อนข้างมาก สูญเสียความร้อนไปกับผนังห้องเผาไหม้ได้ง่าย (Heat Loss) และทำให้การเผาไหม้ไม่สมบูรณ์เท่าที่ควรการควบคุมการเผาไหม้ การเผาไหม้ในห้องโรเตอร์ที่เคลื่อนที่และเปลี่ยนรูปทรงตลอดเวลาเป็นเรื่องที่ซับซ้อน ทำให้ยากต่อการควบคุมการจุดระเบิดและการแพร่กระจายของเปลวไฟให้มีประสิทธิภาพสูงสุดช่วงเวลาเปิดพอร์ต การออกแบบที่ใช้พอร์ตเปิด-ปิดโดยโรเตอร์ (แทนที่จะเป็นวาล์ว) ทำให้มีช่วงเวลาที่พอร์ตไอเสียเปิดค่อนข้างนาน ไอดีบางส่วนที่ยังไม่ถูกเผาไหม้อาจเล็ดลอดออกไปได้ ทำให้สิ้นเปลืองเชื้อเพลิง
- การปล่อยมลพิษสูงการเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ ดังที่กล่าวไป การเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ทำให้เกิดสารประกอบไฮโดรคาร์บอนที่ยังไม่ถูกเผาไหม้ (Unburnt Hydrocarbons) และคาร์บอนมอนอกไซด์ (CO) ในไอเสียสูงกว่าเครื่องยนต์ลูกสูบทั่วไปการควบคุมน้ำมันหล่อลื่น เพื่อหล่อลื่นและซีลปลายโรเตอร์ (Apex Seals) เครื่องยนต์โรตารี่จำเป็นต้องมีระบบฉีดน้ำมันเครื่องเข้าไปในห้องเผาไหม้โดยตรง ซึ่งน้ำมันเครื่องเหล่านี้จะถูกเผาไหม้ไปพร้อมกับเชื้อเพลิง ทำให้เกิดเขม่าและเพิ่มมลพิษในไอเสีย และยังเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันเครื่อง
- ปัญหาด้านความทนทานและอายุการใช้งาน (โดยเฉพาะ Apex Seals)ซีลปลายโรเตอร์ (Apex Seals) นี่คือจุดอ่อนที่สำคัญที่สุดของเครื่องยนต์โรตารี่ ซีลเหล่านี้ทำหน้าที่กั้นการรั่วไหลของแรงอัดและแรงดันจากการเผาไหม้ระหว่างส่วนต่างๆ ของห้องเผาไหม้ มันต้องทนทานต่ออุณหภูมิสูง แรงเสียดทาน และแรงบีบอัดมหาศาล การสึกหรอของ Apex Seals เป็นเรื่องปกติและเกิดขึ้นเร็ว ทำให้ประสิทธิภาพการอัดลดลงและจำเป็นต้องเปลี่ยนหรือโอเวอร์ฮอลเครื่องยนต์บ่อยครั้งกว่าเครื่องยนต์ลูกสูบการสึกหรอของผนังเสื้อโรเตอร์ ผนังด้านในของเสื้อโรเตอร์ก็มีการสึกหรอจากการเสียดสีกับ Apex Seals เช่นกัน ซึ่งจะส่งผลต่อการซีลและประสิทธิภาพของเครื่องยนต์
- แรงบิดต่ำที่รอบต่ำ (Low-End Torque)แม้จะทำรอบเครื่องยนต์สูงได้ดี แต่เครื่องยนต์โรตารี่มักจะมีแรงบิดค่อนข้างน้อยที่รอบเครื่องยนต์ต่ำ ทำให้รู้สึกว่า "อืด" ในการออกตัวหรือขับขี่ในเมือง ต้องลากรอบสูงๆ ถึงจะเริ่มมีกำลังที่น่าพอใจ ซึ่งไม่เหมาะกับการขับขี่ทั่วไปในชีวิตประจำวัน
- การซ่อมบำรุงที่ซับซ้อนและค่าใช้จ่ายสูงด้วยการออกแบบที่แตกต่าง ทำให้ช่างทั่วไปไม่มีความคุ้นเคยกับการซ่อมบำรุงเครื่องยนต์โรตารี่มากนัก การหาช่างเฉพาะทางจึงเป็นเรื่องยากและมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าอะไหล่บางชิ้น โดยเฉพาะ Apex Seals มีอายุการใช้งานสั้นและมีราคาแพง
- ความร้อนสะสมสูงการออกแบบห้องเผาไหม้ที่อยู่ติดกันหลายห้อง (สำหรับโรเตอร์หนึ่งตัว) และการเผาไหม้ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในแต่ละ "หน้า" ของโรเตอร์ ทำให้เครื่องยนต์โรตารี่มีแนวโน้มที่จะสะสมความร้อนสูง ซึ่งต้องการระบบระบายความร้อนที่มีประสิทธิภาพมาก
อนาคตของเครื่องยนต์โรตารี่
แม้จะมีข้อจำกัดมากมาย แต่ความหลงใหลในเครื่องยนต์โรตารี่ก็ยังคงอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ Mazda ซึ่งเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุดและแทบจะเป็นรายเดียวที่ผลิตรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์วันเคลมาอย่างยาวนาน พวกเขาได้พยายามแก้ไขปัญหาต่างๆ มาโดยตลอด ตั้งแต่ RX-7 ไปจนถึง RX-8
ในปัจจุบัน (ปี 2025) Mazda ยังคงมองเห็นศักยภาพของเครื่องยนต์โรตารี่ในฐานะ เครื่องปั่นไฟ (Range Extender) สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า เพื่อชดเชยข้อเสียเรื่องประสิทธิภาพเชื้อเพลิงและมลพิษเมื่อทำงานเป็นเครื่องยนต์หลัก แต่ให้ใช้ข้อดีเรื่องขนาดกะทัดรัด น้ำหนักเบา และการทำงานที่ราบรื่น เพื่อปั่นไฟให้กับแบตเตอรี่เมื่อแบตเตอรี่เหลือน้อย ดังที่เห็นได้ใน Mazda MX-30 R-EV ซึ่งเป็นตัวอย่างล่าสุดของการนำเครื่องยนต์โรตารี่กลับมาใช้อีกครั้งในบทบาทที่แตกต่างออกไป
เครื่องยนต์โรตารี่เป็นนวัตกรรมทางวิศวกรรมที่น่าทึ่ง ด้วยการออกแบบที่ฉีกกฎเกณฑ์และให้ข้อได้เปรียบในเรื่องขนาด น้ำหนัก และความราบรื่น แต่ข้อเสียเรื่องประสิทธิภาพเชื้อเพลิง มลพิษ และความทนทาน ทำให้มันไม่สามารถแข่งขันกับเครื่องยนต์ลูกสูบในตลาดรถยนต์ทั่วไปได้ อย่างไรก็ตาม ความพยายามในการพัฒนาและประยุกต์ใช้ในบทบาทใหม่ๆ เช่น Range Extender ก็แสดงให้เห็นว่าเทคโนโลยีนี้ยังคงมีคุณค่าและอาจมีอนาคตที่แตกต่างออกไปในโลกของยานยนต์ที่กำลังเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคไฟฟ้า