
เปิดสมุดรวม "พันธุ์ไม้มงคลพระราชทาน" จากสมเด็จพระพันปีหลวง สัญลักษณ์ทางธรรมชาติแห่งแผ่นดิน เพื่อความเป็นสิริมงคลและขวัญกำลังใจให้ประชาชนในแต่ละจังหวัด
พันธุ์ไม้มงคลพระราชทานประจำจังหวัด เป็นพันธุ์ไม้ที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้พระราชทานให้กับผู้ว่าราชการจังหวัดของแต่ละจังหวัด เพื่อให้นำไปปลูกเป็นสิริมงคลแก่จังหวัดและเพื่อเป็นการรณรงค์ให้ประชาชนปลูกต้นไม้ในโครงการปลูกป่าถาวรเฉลิมพระเกียรติ เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี ในปี พ.ศ. 2539
1. กรุงเทพมหานคร : ไทรย้อยใบแหลม
ไทรย้อยใบแหลม หรือเรียกสั้นๆ ว่า ไทร เป็นพันธุ์ไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ลำต้นมีความสูงประมาณ 10-20 เมตร ลำต้นตรงแตกกิ่งก้านเป็นพุ่มทึบ บางชนิดก็เป็นพุ่มโปร่ง มีรากอากาศห้อยลงมาตามกิ่งก้านและลำต้น ใบเป็นใบเดี่ยวแตกออกจากกิ่งและส่วนยอดของลำต้น ลักษณะใบ ขนาดและสีสันแตกต่างกันตามชนิดย่อย เป็นพันธุ์ไม้มงคลพระราชทานประจำกรุงเทพมหานคร และเป็นต้นไม้ประจำมหาวิทยาลัยเอเชียอาคเนย์
ไทรเป็นต้นไม้ที่คนไทยโบราณเชื่อว่าเป็นต้นไม้ที่ศักดิ์สิทธิ์ มีเทพารักษ์อาศัยอยู่ บ้านใดปลูกต้นไทรไว้ประจำบ้านจะทำให้เกิดความร่มเย็น จึงเป็นที่มาของคำว่า ร่มโพธิ์ร่มไทร นอกจากนี้ยังช่วยคุ้มครองป้องกันภัยอันตรายทั้งปวง
2. กระบี่ : ทุ้งฟ้า
พันธุ์ไม้พระราชทานจากสมเด็จพระพันปีหลวง เพื่อปลูกเป็นไม้มงคลประจำจังหวัดกระบี่ ต้นสูง 15-30 เมตร ไม่ผลัดใบ ลำต้นตรง กิ่งใหญ่ตั้งฉากกับลำต้น เปลือกสีขาวอมเทา มีน้ำยางสีขาว เรือนยอดค่อนข้างโปร่ง ใบเดี่ยวเรียงรอบข้อข้อละ 3-4 ใบสลับกันไปตามปลายกิ่ง ออกดอกเป็นช่อที่ปลายกิ่ง กลีบดอกสีขาวหรือขาวอมเหลือง ผลเป็นฝักเรียวยาว เมื่อฝักแก่จะบิดเป็นเกลียวและแตกออก ปล่อยให้เมล็ดที่มีขนสีขาวปลิวไปตามลม เนื้อไม้ใช้ทำพื้นกระดาน ฝา และเครื่องใช้ทั่วไป และสามารถใช้เปลือกต้นและราก บำรุงกำลังและบำรุงกำหนัด แก้ไข้ แก้บิด รักษาบาดแผล
3. กาญจนบุรี : ขานาง
ขานางเป็นต้นไม้มงคลพระราชทานประจำจังหวัดกาญจนบุรี เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบขนาดกลางถึงขนาดใหญ่มีความสูง 15 - 30 เมตร เปลือกต้นสีขาวนวล เรือนยอดเป็นพุ่มทึบ กิ่งอ่อนมีขนสีน้ำตาลนุ่ม ใบเป็นใบเดี่ยวเรียงสลับ รูปไข่ ขอบใบหยักคล้ายฟันเลื่อย ออกดอกเป็นช่อตามง่ามใบและปลายกิ่ง ดอกขนาดเล็ก สีเหลืองอ่อน ออกดอกช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคม ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด ชอบดินที่มีหินปูนปนอยู่มาก น้ำและความชื้นปานกลาง
4. กาฬสินธุ์ : มะหาด
พันธุ์ไม้มงคลพระราชทานประจำจังหวัดกาฬสินธุ์ ที่สมเด็จพระพันปีหลวงได้พระราชทานให้กับผู้ว่าราชการจังหวัดของจังหวัดกาฬสินธุ์ เพื่อให้นำไปปลูกเป็นสิริมงคลแก่จังหวัด และเป็นการรณรงค์ให้ประชาชนปลูกต้นมะหาดในโครงการปลูกป่าถาวรเฉลิมพระเกียรติ
5. กำแพงเพชร : สีเสียดแก่น
เป็นพืชในวงศ์ถั่ว เมล็ดเป็นแหล่งของโปรตีน แก่นต้นนำมาใช้เป็นยา โดยนำแก่นต้นสีเสียด สับให้เป็นชิ้น ๆ แล้วต้มและเคี่ยว ส่วนประกอบส่วนใหญ่เป็นสารกลุ่มแทนนินที่มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียที่ก่อเกิดอาการท้องร่วง (Escherichia coli) Staphylococcus aureus ฤทธิ์ต้านเชื้อบิด มีฤทธิ์ยับยั้งการบีบตัวของลำไส้ มีชื่อเรียกในแต่ละท้องถิ่นต่างกันไป เช่น สีเสียด สีเสียดไทย สีเสียดเหนือ สีเสียดเหลือง สีเสียดหลวง
6. ขอนแก่น : กัลปพฤกษ์
เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางความสูงประมาณ 10–15 เมตร พุ่มใบแบนกว้าง ดอกสีชมพูอ่อนแกมขาว ออกเป็นช่อตามกิ่งก้าน ตรงกลางดอกจะมีเกสรตัวผู้สีเหลืองผลเป็นฝักกลม ยาว มีสีดำ เมื่อแก่เนื้อในฝักมีสีขาวกั้นเป็นชั้น ๆ แต่ละชั้นจะมีเมล็ดเรียงอยู่ภายใน ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องโรค เพราะเป็นไม้ที่ทนทานต่อโรคพอสมควร มีชื่อเรียกอื่น ๆ เช่น ภาคเหนือ เรียกชัยพฤกษ์ , เขมร-สุรินทร์ เรียกกานล์ , ปราจีนบุรี เรียก เปลือกขม เป็นต้น
7. จันทบุรี : จัน
เป็นไม้ยืนต้น สูง 10-15 เมตร เปลือกต้นเรียบ สีน้ำตาลเข้มอมเทา กิ่งอ่อนยอดอ่อนมีขนสีน้ำตาลปกคลุม กิ่งก้านเหนียว ใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ รูปรี โคนใบมน ปลายใบแหลมขอบใบเรียบ แผ่นใบเรียบเป็นมันลื่น สีเขียวเข้ม ดอก ดอกแยกเพศอยู่ต้นเดียวกัน ผลรูปกลมแป้นเรียกว่า ลูกจัน ไม่มีเมล็ดผลกลม เรียกว่าอิน ผลกลมเมื่อสุก สีเหลืองรสหวาน รับประทานได้หรือนำไปแปรรูปเป็นของหวาน ผลช่วยแก้อาการนอนไม่หลับ กระสับกระส่าย เนื้อไม้มีรสขมปนหวาน เป็นยาบำรุงประสาท แก้ร้อนใน เป็นต้น
8. ฉะเชิงเทรา : อะราง
เป็นไม้ยืนต้นในวงศ์ Caesalpiniaceae เปลือกเรียบ สีเทาอมน้ำตาล ใบประกอบแบบขนนก ดอกช่อออกตามปลายกิ่งแล้วห้อยลง สีเหลือง ผลเป็นฝักแบน ปลายและโคนฝักเรียวแหลม เมล็ดแบนสีน้ำตาล ลักษณะคล้ายนนทรีแต่ต่างกันที่ช่อดอกของอะรางห้อยลงแต่นนทรีชี้ขึ้น เปลือกต้นอะรางเป็นยาขับเสมหะ และใช้รักษาโรคเกี่ยวกับเลือด ใช้เป็นสีย้อม
9. ชลบุรี : ประดู่ป่า
พันธุ์ไม้ที่สมเด็จพระพันปีพระราชทานเพื่อปลูกเป็นไม้มงคลประจำจังหวัดชลบุรี เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2537 นอกจากนี้ยังเป็นต้นไม้และดอกไม้ประจำจังหวัดชลบุรีและจังหวัดระยอง ลำต้นสูง 15-30 เมตร หุ้มด้วยเปลือกหนาสีน้ำตาล มีนํ้ายางมาก เรือนยอดเป็นพุ่มกลมทึบ กิ่งก้านมักไม่ห้อยระย้าอย่างประดู่บ้าน ใบเป็นใบประกอบรูปขนนกเรียงสลับ ใบย่อยเยื้องสลับกัน รูปไข่ถึงรูปขนาน ดอกมีสีเหลือง กลิ่นหอมคล้ายดอกซ่อนกลิ่น ผลมีลักษณะเหมือนรูปโล่แบนบาง ตรงกลางนูน ผลใหญ่กว่าประดู่บ้านมาก และมีขนปกคลุมทั่วไป
ประดู่มีเนื้อไม้สีแดงอมเหลือง เสี้ยนสนเป็นริ้ว เนื้อละเอียดปานกลาง มีลวดลายสวยงาม ใช้ทำเสา พื้นต่อเรือ เครื่องเรือน เครื่องดนตรี แก่นสีแดงคล้ำใช้ย้อมผ้า และเปลือกให้น้ำฝาดใช้ฟอกหนัง
10. ชัยนาท : มะตูม
พันธุ์ไม้มงคลพระราชทานประจำจังหวัดชัยนาท ผู้ที่ได้รับทุนเล่าเรียนหลวงหรืองานสมรสพระราชทานจะได้รับพระราชทานใบมะตูมเพื่อเป็นสิริมงคล มะตูมมีลำต้นมีความสูง 18 เมตร เปลือกลำต้นมีสีเทาเรียบเป็นร่องตื้น เนื้อไม้แข็ง มีสีขาวแกมเหลืองและมีกลิ่นหอม ผลมะตูมใช้รับประทานได้ทั้งแบบสดและแบบแห้ง คนไทยถือว่ามะตูมเป็นไม้มงคล นิยมปลูกทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของบ้าน ศาสนาฮินดู เป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ของพระศิวะ นอกจากนี้ใบมะตูมยังเป็นส่วนประกอบในพิธีกรรมทางศาสนา เช่นการทำน้ำมนต์สะเดาะเคราะห์หรือครอบครู
11. ชัยภูมิ : ขี้เหล็กบ้าน
เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กถึงปานกลาง ผลัดใบ สูงประมาณ 8-15 เมตร ลำต้นมักคดงอเป็นปุ่ม เปลือกสีเทาถึงสีน้ำตาลดำ ใบประกอบเป็นแบบขนนก เรียงสลับกัน ดอกช่อสีเหลืองอยู่ตามปลายกิ่ง ผลเป็นฝักแบนยาวมีสีคล้ำ เมล็ดรูปไข่ยาวแบนสีน้ำตาลอ่อน ส่วนของดอกและใบขี้เหล็กใช้เป็นอาหารในหลายประเทศ เป็นต้นไม้ที่ขึ้นได้ดีในทุกภาคของประเทศไทย มีชื่อเรียกในท้องถิ่นที่แตกต่างกัน เช่น ขี้เหล็กแก่น (ราชบุรี) , ขี้เหล็กบ้าน (ลำปาง) , ขี้เหล็กหลวง (ภาคเหนือ) , ขี้เหล็กใหญ่ (ภาคกลางบางที่) , ผักจี้ลี้ (ฉาน-แม่ฮ่องสอน) , ยะหา (มลายู-ปัตตานี) และขี้เหล็กจิหรี่ (ภาคใต้) เป็นต้น
12. ชุมพร : มะเดื่อชุมพร
เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางในวงศ์ Moraceae พันธุ์ไม้พระราชทานประจำจังหวัดชุมพร ลำต้นตรงสูงเต็มที่ 20 เมตร เปลือกต้นสีเทา ใบเดี่ยวออกเรียงสลับตามกิ่ง มีก้านใบยาวรูปทรงรี โคนใบมน ปลายใบแหลม ขอบใบเรียบ มีเส้นแขนงใบราว 6-8 คู่ ออกเป็นช่อยาวตามกิ่ง แต่ละช่อมีดอกย่อยขนาดเล็กเป็นกลุ่ม สีขาวออกชมพู ออกผลเป็นกลุ่มรูปทรงกลมรี เกาะกลุ่มตามต้นและกิ่งห้อยระย้าสวยงามมาก ผลสุกมีสีแดงม่วง รับประทานได้ รสฝาดอมหวาน ดอกและผลออกทั้งปี
13. เชียงราย : กาซะลองคำ
เป็นไม้ต้นผลัดใบในวงศ์แคหางค่าง สูงประมาณ 10 เมตร เรือนยอดเป็นพุ่มทึบ ใบเป็นประเภทใบประกอบแบบ 2-3 ชิ้น ใบย่อยรูปไข่ปลายใบแหลม ขึ้นตามธรรมชาติบนเทือกเขาหินปูนที่ค่อนข้างชื้น ดอกมีสีเหลืองอมส้มหรือสีส้ม ออกเป็นกระจุกตามกิ่งและลำต้น กระจุกละ 5-10 ดอก บานไม่พร้อมกัน เป็นพรรณไม้พระราชทานเพื่อปลูกเป็นมงคลประจำจังหวัดเชียงราย และเป็นเป็นพรรณไม้ประจำมหาวิทยาลัยสองแห่ง คือ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย เรียกว่า กาซะลองคำ และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี เรียกว่าปีบทอง
14. เชียงใหม่ : ทองกวาว
ทองกวาวมีชื่อเรียกอื่นๆ อีกคือ กวาว ก๋าว ในภาคเหนือ, จอมทอง ในภาคใต้, ทองธรรมชาติ ทองพรหมชาติ ทองต้น ในภาคกลาง และเรียก ดอกจาน ในภาคอีสาน เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง สูง 5–15 เมตร ผลัดใบ เรือนยอดเป็นพุ่มกลมทึบ ลำต้นแตกกิ่งต่ำคดงอ เปลือกนอกสีเทาถึงสีเทาคล้ำค่อนข้างเรียบหรือแตกเป็นร่องตื้นๆ เปลือกในสีแดง ใบประกอบแบบขนนก ปลายคี่ เรียงเวียนสลับ ออกดอกเป็นช่อแบบไม่แตกแขนงตามกิ่งก้านและปลายกิ่ง มีทั้งสีแสดและสีเหลืองสด
คนไทยโบราณเชื่อว่า บ้านใดปลูกต้นทองกวาวไว้ประจำบ้าน จะทำให้มีเงินมีทองมาก นอกจากนี้ดอกยังมีความสวยเรืองรองดั่งทองธรรมชาติ ควรปลูกต้นทองกวาวไว้ทางทิศใต้ผู้ปลูกควรปลูกในวันเสาร์เพราะโบราณเชื่อว่าการปลูกไม้เพื่อเอาคุณทั่วไปให้ปลูกในวันเสาร์ รวมถึงเป็นพืชที่มีความสำคัญในศาสนาฮินดู ใช้เป็นสัญลักษณ์ของพระพรหม พระนารายณ์ พระอิศวร ไม้ทองกวาวใช้เป็นฟืนเผาศพ ถือเป็นพืชศักดิ์สิทธิ์
15. ตรัง : ศรีตรัง
ศรีตรัง หรือ แคฝอย เป็นไม้ต้นผลัดใบขนาดกลางในวงศ์แคหางค่าง ปลูกเป็นไม้ประดับ สูง 4–10 เมตร เรือนยอดโปร่ง เปลือกสีน้ำตาลอมขาว แตกล่อนเป็นแผ่นบางตามยาวคล้ายกระดาษ ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก 2 ชั้น เรียงตรงกันข้าม ดอกมีสีม่วงอ่อน มีกลิ่นหอมอ่อน ออกเป็นช่อแบบกระจุกแยกแขนงตามกิ่งและซอกใบ ใกล้ปลายกิ่ง ผลแห้งแตกเป็นฝักสีน้ำตาลอ่อน
ศรีตรังเป็นชื่อไม้ต้นสองชนิด ได้แก่ ชนิด J. obtusifolia และชนิด J. mimosifolia มีถิ่นกำเนิดในทวีปอเมริกาใต้ แต่มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์ต่างกันบางประการ พระยารัษฎานุประดิษฐ์มหิศรภักดี ได้นำศรีตรังชนิด J. obtusifolia มาปลูกที่เมืองตรังเป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2444 ปัจจุบันศรีตรังชนิดนี้เป็นชนิดที่นิยมปลูกกันทั่วไปในประเทศไทย ทั้งยังได้รับการกำหนดให้เป็นพันธุ์ไม้มงคลพระราชทานและดอกไม้ประจำจังหวัดตรัง
16. ตราด : หูกวาง
ไม้ยืนต้นประเภทผลัดใบ มีความสูงประมาณ 8–25 เมตร มีเปลือกเรียบ กิ่งแตกรอบลำต้นตามแนวนอนเป็นชั้น ๆ คล้ายฉัตร ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเวียนสลับถี่ตอนปลายกิ่ง ใบเป็นรูปไข่ ปลายใบแหลมเป็นติ่งสั้นๆ โคนใบสอบแคบ เว้า ออกดอกเป็นช่อตามซอกใบ ขนาดเล็ก มีสีขาวนวล ผลเป็นรูปไข่หรือรูปรีป้อมๆ แบนเล็กน้อยคล้ายเมล็ดแอลมอนด์นิยมปลูกเป็นไม้ประดับ เป็นพันธุ์ไม้มงคลพระราชทานประจำจังหวัดตราด และเป็นต้นไม้ประจำมหาวิทยาลัยสยาม
17. ตาก : แดง
เป็นไม้ต้นขนาดใหญ่ สูงได้ถึง 30 เมตร จัดอยู่ในวงศ์ถั่ว (Fabaceae) ลำต้นค่อนข้างเปล่า ตรง หรือเป็นปุ่มปม เรือนยอดรูปทรงกลม หรือเก้งก้าง ไม่ค่อยแน่นอน สีเขียวอมแดง เปลือกเรียบสีเทาอมแดง ตกสะเก็ดออกเป็นแผ่นกลมบาง ๆ รอบลำต้น ยอดอ่อนมีขนสีเหลืองปกคลุม ใบเป็นช่อแบบขนนกสองชั้น ปลายใบแหลมมน ฐานใบมักจะเบี้ยว ใบแก่ไม่มีขนปกคลุม หรืออาจจะมีขนประปรายด้านท้องใบเล็กน้อย ดอกสีเหลือง ขนาดเล็ก ขึ้นอัดกันแน่นบนช่อกลมเดี่ยวๆ หรือแตกกิ่งก้าน หรือขึ้นเป็นกลุ่ม ผลเป็นฝักแบน รูปขอบขนานเรียวและโค้งงอที่ส่วนปลาย ฝักแข็ง เป็นไม้ที่ใช้ประโยชน์ในเชิงอุตสาหกรรมป่าไม้ ใช้ทำเฟอร์นิเจอร์ และเครื่องใช้ต่างๆ
18. นครนายก : สุพรรณิการ์
ต้นไม้ผลัดใบสูง 7-15 เมตร แผ่นใบแยกเป็น 5 แฉก ขอบใบเป็นคลื่น ดอกเป็นช่อออกกระจายที่ปลายกิ่งบานทีละดอก สีเหลืองมีกลิ่น กลีบบาง เกสรสีเหลือง ออกดอกเกือบตลอดปี ในประเทศศรีลังกามักปลูกบริเวณพระอุโบสถเพื่อเป็นดอกไม้บูชาพระ ในเมืองไทยทางเหนือเรียกว่า ฝ้ายคำ นิยมปลูกเป็นไม้ประดับ โดยได้รับการกำหนดให้เป็นพันธุ์ไม้มงคลพระราชทานประจำจังหวัดนครนายก และเป็นดอกไม้ประจำจังหวัดนครนายก สระบุรี บุรีรัมย์ สุพรรณบุรี และอุทัยธานี
19. นครปฐม : จันทน์หอม
ไม้ยืนต้นผลัดใบในวงศ์ชบา (Malvaceae) พบในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียใต้ ต้นมีลักษณะลำต้นตรง เปลือกสีเทาอมขาว ใบเดี่ยว ดอกช่อ ขนาดเล็ก สีขาว ผลแห้ง แต่ละผลมีปีกรูปสามเหลี่ยมที่ปลายผล 1 อัน ไม้ที่ตายเองมีกลิ่นคล้ายชะมด ใช้ทำหีบ ตู้เสื้อผ้า เนื้อไม้ใช้ผสมในยาแก้ไข้ น้ำมันที่กลั่นจากเนื้อไม้ ใช้ทำน้ำหอม ผสมในยาบำรุงหัวใจ เครื่องยาจันทน์ชะมดที่มีจำหน่ายตามร้านขายยาไทยในปัจจุบันได้มาจากแก่นพืชชนิดนี้
20. นครพนม : กันเกรา
พันธุ์ไม้มงคลพระราชทานและต้นไม้ประจำจังหวัดจังหวัดนครพนม เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงใหญ่ ขึ้นโดยทั่วไปในทุกภาคของประเทศไทย ออกดอกเป็นช่อสีเหลือง มีกลิ่นหอมขจรขจาย ต้นกันเกรามีชื่อเรียกอื่นว่า มันปลา ตำเสา มะซูไม้ต้น ถือเป็นไม้มงคลชนิดหนึ่งและมีคุณสมบัติที่ดีในการใช้ประโยชน์ ชื่อกันเกราหมายถึง กันสิ่งชั่วร้ายทั้งหลายไม่ให้มาทำอันตรายใดๆ
21. นครราชสีมา : สาธร
พันธุ์ไม้พระราชทานเพื่อปลูกเป็นมงคลของจังหวัดนครราชสีมาและต้นไม้ประจำมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ สาธรเป็นไม้ที่พบขึ้นในป่าเบญจพรรณ เป็นไม้ต้นขนาดกลางผลัดใบ สูง 18-20 เมตร เรือนยอดกลมหรือทรงกระบอก เปลือกต้นสีเทาเรียบหรือแตกเป็นสะเก็ดเล็กๆ เรือนยอดเป็นพุ่มทึบ ใบอ่อนและยอดอ่อนมีขนยาวอ่อนนิ่มคล้ายเส้นไหมปกคลุมอยู่ ออกดอกเป็นช่อกระจายแยกแขนงสีขาว ตามง่ามใบและปลายกิ่ง เนื้อไม้และแก่นมีลักษณะสวยงามใช้ในการก่อสร้าง ใช้ทำเครื่องเรือนและด้ามเครื่องมือเครื่องใช้
22. นครศรีธรรมราช : แซะ
ต้นแซะเป็นพันธุ์ไม้พระราชทานเพื่อปลูกเป็นมงคลสำหรับจังหวัดนครศรีธรรมราช อยู่ในวงศ์ Leguminosae เป็นไม้ยืนต้นสูง 20–30 เมตร เรือนยอดเป็นพุ่มทึบ เปลือกลำต้นเรียบ ผิวสีน้ำตาลหรือเทา มีพูพอน ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก ใบย่อยออกตรงกันข้าม ดอกออกเป็นช่อตามปลายกิ่งหรือง่ามใบ ทรงดอกถั่ว กลีบเลี้ยงสีเขียว เชื่อมติดกันเป็นรูปถ้วย กลีบดอกสีแดงแกมม่วงทึบ ผลเป็นผลเดี่ยว ผลอ่อนแบน เมื่อผลแก่ เมล็ดขยายใหญ่จนเกือบเป็นทรงกระบอก ผลใช้เป็นอาหารสัตว์ ลำต้นใช้ก่อสร้าง
23. นครสวรรค์ : อินทรชิต
หรือเรียกอีกชื่อว่า เสลา เป็นต้นไม้ขนาดกลางโตช้า ผลัดใบ สูง 1-2 เดคาเมตร เรือนยอดทรงกลมทึบ ใบดก กิ่งโน้มลงรอบทรงพุ่ม เปลือกต้นสีน้ำตาลเข้มเกือบดำ มีรอยแตกเป็นทางยาวตลอดลำต้น ใบเดี่ยว ดอกสีม่วง ม่วงอมชมพู หรือม่วงกับขาว ออกเป็นช่อที่ปลายกิ่ง ผลรูปเกือบกลม ผิวแข็ง ยาวประมาณ 2 เซนติเมตร ผลแห้งแตกตามยาว นิยมปลูกเป็นไม้ประดับ และถือเป็นไม้มงคล
24. นนทบุรี : นนทรี
เป็นไม้ยืนต้นในวงศ์ถั่ว ทรงพุ่มสูงได้ถึง 25 เมตร กึ่งผลัดใบ เรือนยอดรูปร่ม แผ่กว้าง ใบเป็นใบประกอบขนนกสองชั้นรูปไข่ ออกดอกเป็นช่อตั้งขนาดใหญ่ที่ปลายกิ่ง สีเหลือง มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ต้นนนทรีเป็นพันธุ์ไม้มงคลพระราชทานประจำจังหวัดนนทบุรี และเป็นต้นไม้ประจำสถาบันการศึกษาหลายแห่ง
25. นราธิวาส : ตะเคียนชันตาแมว
จัดอยู่ในวงศ์ยางนา Dipterocarpaceae เป็นพันธุ์ไม้พระราชทานปลูกเป็นมงคลประจำจังหวัดนราธิวาส ลักษณะของตะเคียนชันตาแมว เป็นไม้ต้นสูงถึง 40 เมตร เรือนยอดเป็นพุ่มกลมหรือบางครั้งแผ่กว้าง ลำต้นตรง เปลือกสีน้ำตาลเข้มแตกตามยาวและล่อนเป็นสะเก็ด ใบเดี่ยวเรียงสลับ แผ่นใบรูปขอบขนานแกมรูปใบหอก ดอกสีขาวนวลถึงสีขาวอมเหลือง ออกเป็นช่อตามง่ามใบและปลายกิ่ง ผล รูปทรงกระบอกโค้ง ปลายแหลม ประโยชน์ใช้ในการก่อสร้างได้แข็งแรงทนทาน เช่น ทำเสา รอด ตง ไม้หมอนรถไฟ และใช้ต่อเรือ ชันมีราคาสูง ใช้ผสมน้ำมันทาไม้ และน้ำมันชักเงาอย่างดี
26. น่าน : กำลังเสือโคร่ง
เป็นไม้ผลัดใบระยะสั้น เปลือกต้นสีน้ำตาลแดงหรือเทาออกเงิน เมื่อสับเปลือกมีกลิ่นคล้ายน้ำมันระกำ แก่แล้วจะลอกเป็นแผ่นบางคล้ายกระดาษ เปลือกชั้นในมีกลิ่นหอม หลุดร่วงง่าย ใบเดี่ยว ดอกขนาดเล็ก อยู่เป็นช่อห้อยลง สีออกเขียว ดอกเพศผู้ห้อยเป็นพวงเหมือนพวงกระรอกเล็ก ๆ ช่อดอกเพศเมียเป็นช่อตั้ง ผลขนาดเล็ก เปลือกมีน้ำมันหอม มีฤทธ์เป็นยา ใช้ทำเหล้า ใบใช้เป็นอาหารเลี้ยงสัตว์ เปลือกต้นใช้ขับลมในลำไส้ แก้ปวดเมื่อยตามร่างกาย เปลือกต้นใช้ดองเหล้าเป็นยาสมุนไพร
27. บึงกาฬ : สิรินธรวัลลี
เป็นหนึ่งในสมาชิกพืชวงศ์ถั่ว (Leguminosae-Caesalpinioideae ) สิรินธรวัลลีเป็นไม้เลื้อยเนื้อแข็งในสกุลชงโค กิ่งอ่อนมีขนสีน้ำตาลแดง เมื่อแก่เปลือกเถาเรียบ บิดตามยาวเล็กน้อย เนื้อไม้เมื่อตัดตามขวาง สีน้ำตาลเข้มออกแดง ดอกออกเป็นช่อสีน้ำตาล ออกดอกตลอดปี เป็นไม้ถิ่นเดียวในประเทศไทย พบครั้งแรกโดย ดร.ชวลิต นิยมธรรม เมื่อ 20 กันยายน พ.ศ. 2538 ที่ภูทอกน้อย ปัจจุบันอยู่ในเขตจังหวัดบึงกาฬ
ดอกสิรินธรวัลลี ดอกไม้ประจำจังหวัดบึงกาฬ ชื่อของพืชชนิดนี้ตั้งตามพระนามาภิไธยของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และตีพิมพ์โดย ศาสตราจารย์ ไค ลาร์เซน และอาจารย์สุพีร์ ศักดิ์สุวรรณ ลาร์เซน โดยทั้งสองท่านร่วมกับกรมป่าไม้ ขอพระราชทานพระราชานุญาต ใช้พระนามาภิไธย เพื่อเทิดพระนามพระองค์ท่านที่ทรงสนพระทัย และให้การสนับสนุนงานทางพฤกษศาสตร์ตลอดมา
28. บุรีรัมย์ : กาฬพฤกษ์
เป็นไม้ต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลาง กึ่งผลัดใบ สูง 10-20 เมตร เรือนยอดทรงกลมหรือคล้ายรูปร่มแผ่กว้าง เปลือกมีสีน้ำตาลเข้มเกือบดำแตกเป็นร่องลึก กิ่งอ่อนหรือช่อดอกมีขนนุ่มสีน้ำตาล ใบประกอบรูปขนนกเรียงสลับ ใบย่อย ดอกออกเป็นช่อพร้อมใบอ่อนตามกิ่ง ช่อดอกยาว 10-20 เซนติเมตร เริ่มบานสีแดงแล้วเปลี่ยนเป็นชมพูตามลำดับ ผลเป็นฝักรูปทรงกระบอก มีถิ่นกำเนิดอเมริกาเขตร้อน นิยมปลูกอยู่ทั่วไป นิยมปลูกเป็นไม้ประดับ เนื้อไม้และเปลือกมีสารฝาด ใช้ฟอกหนัง
29. ปทุมธานี : ทองหลางลาย
ไม้ยืนต้นผลัดใบ สูง 5-10 เมตร กิ่งอ่อนมีหนามเรือนยอดเป็นพุ่มกลมโปร่ง ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก มีใบย่อย ออกดอกเป็นช่อยาวประมาณ 30–40 เซนติเมตร รูปดอกถั่ว สีแดงเข้ม ผลเป็นฝักยาว 15–30 เซนติเมตร เจริญได้ในสภาพดินทุกชนิด มีชื่อเรียกแตกต่างกันในหลายพื้นที่ เช่น ทองหลางลาย, ปาริชาติ, ทองหลางด่าง หรือ ทองเผือก ในภาคเหนือ
30. ประจวบคีรีขันธ์ : เกด
พันธุ์ไม้มงคลพระราชทานและดอกไม้ประจำจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นต้นไม้ขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ มีน้ำยางขาว สูง 15-25 เมตร เรือนยอดแน่นทึบเป็นพุ่มกลม ลำต้น และกิ่งมักคดงอ เปลือกนอกสีน้ำตาลอมเทาหรือสีคล้ำ แตกเป็นสะเก็ดสี่เหลี่ยมหรือแตกเป็นร่องลึกตามยาว เปลือกในสีแดงอมน้ำตาลหรือชมพู ใบเดี่ยว เรียงเวียนสลับเป็นกลุ่มตอนปลายกิ่ง รูปไข่กลับหรือรูปรีแกมรูปไข่กลับ ปลายมนกว้าง และหยักเว้า ดอกเดี่ยวหรือเป็นช่อกระจุกตามง่ามใบ ดอกสีเหลืองอ่อน กลิ่นหอมเล็กน้อย ผลสุกสีเหลืองหรือเหลืองอมส้ม เนื้อนุ่ม ชื่อเกด ปรากฏในวรรณคดีเรื่องขุนช้างขุนแผนและรามเกียรติ์ ในพุทธประวัติ ต้นราชายตนะเป็นที่ประทับในสัปดาห์ที่ 7 หลังจากการตรัสรู้
31. ปราจีนบุรี : โพศรีมหาโพธิ
เป็นต้นไม้สปีชีส์หนึ่งของไทรหรือมะเดื่อ ไม้มงคลพระราชทานประจำจังหวัดปราจีนบุรี ใบมีรูปหัวใจปลายยาว ผลมีขนาดเล็กสีเขียว เมื่อสุกมีสีม่วง โพเป็นต้นไม้ที่ได้รับการสักการะในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ศาสนาเชน และพระพุทธศาสนา พระโคตมพุทธเจ้าได้ตรัสรู้เมื่อนั่งอยู่ใต้ต้นโพเช่นกัน โดยต้นโพที่พระโคตมพุทธเจ้าตรัสรู้นั้นชื่อต้นพระศรีมหาโพธิ์ ปัจจุบันยังคงมีชีวิตอยู่ที่ประเทศอินเดีย จึงเชื่อกันว่าโพเป็นสัญลักษณ์แห่งความสุข ความสำเร็จ อายุยืน และความโชคดี
32. ปัตตานี : ตะเคียนทอง
ตะเคียน จัดเป็นไม้ที่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจชนิดหนึ่งของประเทศ เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ สูง 20-40 เมตร ไม่ผลัดใบ เรือนยอดเป็นพุ่มทึบกลมหรือรูปเจดีย์ต่ำ เปลือกหนาสีน้ำตาลดำ แตกเป็นสะเก็ด กระพี้สีน้ำตาลอ่อน แก่นสีน้ำตาลแดง ใบรูปไข่แกมรูปหอก หรือรูปดาบ เนื้อใบค่อนข้องหนา ปลายใบเรียว โคนใบบนป้านและเบี้ยว ดอกเล็ก ออกเป็นช่อยาว สีขาว ตามง่ามใบและปลายกิ่ง มีกลิ่นหอม ผลกลมหรือรูปไข่เกลี้ยง ปลายมน เป็นติ่งคล้ายหนามแหลม
33. พะเยา : สารภี
ไม้ดอกยืนต้นพบในประเทศไทย ลาว เวียดนามและกัมพูชา เป็นพันธุ์ไม้พระราชทานเพื่อปลูกเป็นมงคลจังหวัดพะเยา สารภียังมีชื่อพื้นเมืองอื่นๆ อีกเช่น ทรพี ในจันทบุรี, สร้อยพี เรียกในภาคใต้ และสาหละปี ในเชียงใหม่และภาคเหนือ เป็นไม้ยืนต้นสูง 10 – 15 เมตร ไม่ผลัดใบ เรือนยอดเป็นพุ่มทึบ ใบเป็นใบเดี่ยวเรียงตรงข้าม เนื้อไม้มีสีน้ำตาลแกมแดง ใบสีเขียว หนา แข็งเป็นมัน มียางขาว ดอกสีขาวอมเหลือง ออกดอกเป็นกระจุกตามกิ่ง สีขาว กลิ่นหอม ร่วงง่าย
34. พระนครศรีอยุธยา : หมัน
พันธุ์ไม้มงคลพระราชทานประจำจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ไม้ต้นผลัดใบขนาดเล็กถึงกลาง สูง 10-15 เมตร เรือนยอดเป็นพุ่มกลม เปลือกต้นสีเทาเข้มปนดำ ใบเป็นใบเดี่ยวเรียงสลับ รูปไข่กลับ ดอกออกเป็นช่อแบบแยกแขนงตามซอกใบ กิ่งหรือปลายกิ่ง สีขาวมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ผลเป็นแบบผลสดมีเนื้อ ทรงกลม ปลายผลมีติ่งแหลม เมื่อสุกมีสีชมพูอมส้ม เนื้อผลเป็นยางเหนียวใส ภายในมีเมล็ดเดี่ยวรูปไข่ รับประทานได้ ยางเหนียวจากผลบางครั้งใช้เป็นกาว
35. พังงา : เทพธาโร
ต้นไม้หอมชนิดหนึ่งสกุลเดียวกับต้นอบเชย มีต้นขนาดใหญ่ อยู่ในวงศ์ Lauraceae เป็นพันธุ์ไม้มงคลพระราชทานประจำจังหวัดพังงา และยังเป็นไม้หอมที่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจ
เทพทาโรเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง ไม่ผลัดใบ เรือนยอดเป็นพุ่มกลับทึบ ใบมีสีเขียวเข้ม ลำต้นเรียบไม่มีพูพอน เปลือกต้นสีเทาอมเขียวหรืออมน้ำตาล ค่อนข้างเรียบ แตกเป็นร่องยาวตามลำต้น เมื่อถากเปลือกออกจะมีกลิ่นหอม ใบเป็นชนิดใบเดี่ยว ออกเรียงสลับกัน เป็นใบรูปรีแกมรูปไข่ ดอกออกเป็นช่อ สีขาวหรือเหลืองอ่อน มีกลิ่นหอม ออกดอกตามปลายกิ่งเป็นกระจุกยาว ผลมีขนาดเล็กและกลม ผลอ่อนมีสีเขียว ผลแก่มีสีม่วงดำ ลักษณะเนื้อไม้มีสีเทาแกมน้ำตาล มีกลุ่มหอมฉุน มีริ้วสีเขียวแกมเหลือง เนื้อไม้เป็นมันเลื่อม เสี้ยนตรง แข็งพอประมาณ
36. พัทลุง : พะยอม
พะยอม เป็นไม้ยืนต้นประเภทพืชใบเลี้ยงคู่ชนิดหนึ่ง ที่อยู่ในวงศ์ Dipterocarpaceae เป็นไม้ต้นสูง 15–30 เมตร ลักษณะคล้ายกับต้นตะเคียน เปลือกสีเทาเข้มแตกเป็นร่อง ใบเดี่ยวออกสลับ ดอกสีขาว กลิ่นหอมจัด ออกเป็นช่อใหญ่ตามกิ่งและปลายกิ่ง ผลรูปรี นิยมนำเนื้อไม้ไปใช้ในการก่อสร้าง เช่น ใช้ทำหมอนรองรางรถไฟ พื้น เป็นต้น
พะยอมถือเป็นพันธุ์ไม้มงคลพระราชทานประจำจังหวัดพัทลุง และมีชื่อเรียกพื้นเมืองตามที่อื่นๆ อีก ได้แก่ กะยอม (เชียงใหม่) ชะยอม (ลาว) กะยอม (อีสาน) ขะยอมดง พะยอมดง (ภาคเหนือ) แคน (ร้อยเอ็ด) เชียง เชี่ยว (กะเหรี่ยง - เชียงใหม่) พะยอม (ภาคกลาง) พะยอมทอง (สุราษฎร์ธานี, ปราจีนบุรี) ยางหยวก (น่าน)
37. พิจิตร : บุนนาค
จัดอยู่ในวงศ์ Calophyllaceae เป็นไม้ยืนต้น โตช้า เนื้อไม้แข็งและหนัก นิยมปลูกเป็นไม้ประดับเนื่องจากมีรูปทรงที่สง่างาม ใบสีเขียวเทาอมฟ้า เมื่อใบอ่อนจะมีสีชมพูอมแดงสวยงาม และดอกสีขาวขนาดใหญ่มีกลิ่นหอมแรง เป็นพันธุ์ไม้มงคลพระราชทานประจำจังหวัดพิจิตร วงศ์เดียวกับต้นชะมวงหรือส้มป่อง มะดะหรือมังคุดป่า ต้นติ้วแดงและ ต้นติ้วขน
38. พิษณุโลก : ปีบ
เรียกชื่อปีบ หรือ กาซะลอง ในภาษาไทยถิ่นเหนือ เป็นไม้ยืนต้นสูงประมาณ 15 เมตร เรือนยอดเป็นพุ่มทรงกระบอก กิ่งก้านมักจะย้อยลง เปลือกสีน้ำตาลแตกเป็นร่องลึกตามยาว มีดอกรูปแตรสีขาวหอมอ่อนๆ นิยมปลูกเป็นไม้ประดับ
39. เพชรบุรี : หว้า
หว้าเป็นไม้ประเภทไม้ยืนต้น เป็นพันธุ์ไม้มงคลพระราชทานประจำเพชรบุรี ลำต้นสูง 10-35 เมตร เปลือกต้นค่อนข้างเรียบ สีน้ำตาล ใบเดี่ยว ออกตรงข้าม รูปไข่หรือรูปรี มีจุดน้ำมันที่บริเวณขอบใบ ดอกช่อสีขาวหรือสีเหลืองอ่อน ออกที่ซอกใบหรือปลายยอด ผลสดรูปรีแกมรูปไข่ ฉ่ำน้ำ มีสีม่วงดำ ผิวเรียบมัน ผลดิบ แก้ท้องเสีย ผลสุก รับประทานได้
40. เพชรบูรณ์ : มะขาม
มะขาม เป็นไม้เขตร้อนวงศ์ Fabaceae ทีชื่อเรียกในภาคต่างๆ เรียก มะขามไทย ภาคกลาง, ขาม ภาคใต้, ตะลูบ โคราช เป็นพันธุ์ไม้มงคลพระราชทานและต้นไม้ประจำจังหวัดเพชรบูรณ์ มะขามในไทยมีสองชนิดคือมะขามเปรี้ยวและมะขามหวาน ในบางครั้งจะเรียกมะขามตามลักษณะของฝัก เช่น มะขามขี้แมว คือมะขามฝักกลม มะขามกระดาน คือมะขามฝักแบน เป็นต้น
ตามตำราพรหมชาติฉบับหลวง มะขามถือเป็นไม้มงคลชนิดหนึ่งที่ควรปลูกไว้ทางทิศตะวันตกของบ้าน เพื่อป้องกันสิ่งไม่ดี ผีร้ายมิให้มากล้ำกลาย อีกทั้งต้นมะขามยังเป็นต้นไม้ที่มีชื่อเป็นมงคลนาม ถือกันเป็นเคล็ดว่าจะทำให้มีแต่คนเกรงขาม
41. แพร่ : ยมหิน
ยมหิน เป็นต้นไม้ประจำจังหวัดแพร่ ที่สมเด็จพระพันปีหลวง พระราชทานเพื่อปลูกเป็นต้นไม้ประจำจังหวัด ต้นมีความสูง 15-25 เมตร เปลือกมีสีน้ำตาลถึงน้ำตาลดำ เปลือกในสีแดงออกน้ำตาลชมพู แก่นไม้มีสีเหลืองเข้มถึงน้ำตาลแดง เป็นไม้ที่เหมาะสำหรับงานที่ใช้ในที่ร่ม สามารถนำไปแปรรูปเป็นสินค้า
42. ภูเก็ต : ประดู่บ้าน
ไม้ผลัดใบขนาดใหญ่ชนิดหนึ่งในสกุล Pterocarpus วงศ์ Leguminosae เป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ลักษณะทั่วไปคล้ายประดู่ แต่แตกกิ่งก้านเป็นทรงพุ่มกว้างกว่าและมีปลายกิ่งยาวห้อยระย้า ความสูงประมาณ 10–25 เมตร ผิวเปลือกลำต้นมีสีดำหรือเทา ลำต้นเป็นพูไม่กลม แตกเป็นสะเก็ดร่องตื้น ๆ มีน้ำยางน้อยกว่าประดู่ ใบเป็นช่อแตกออกจากปลายกิ่ง เป็นรูปมนรี ปลายใบแหลม โคนใบมน ดอกมีขนาดเล็กสีเหลือง ออกเป็นช่อตามปลายกิ่ง โดยช่อดอกจะแตกแขนงเป็นช่อใหญ่กว่าประดู่ ผลมีขนเล็กๆ ปกคลุม
43. มหาสารคาม : พฤกษ์
พฤกษ์เป็นต้นไม้ที่มีประโยชน์และผูกพันกับคนไทยมากชนิดหนึ่ง จึงได้รับการพิจารณาให้เป็นต้นไม้มงคลประจำจังหวัดมหาสารคาม มีถิ่นกำเนิดอยู่ในเขตร้อนชื้นของทวีปเอเชีย ซึ่งรวมทั้งประเทศไทย ต้นพฤกษ์มีชื่อซ้ำกับพืชชนิดอื่นที่เรารู้จักกันดีนั่นก็คือต้นจามจุรีและก้ามปู ซึ่งอยู่ในวงศ์เดียวกัน ต่างกันที่สีดอกพฤกษ์มีสีขาวเหลือง แต่ดอกจามจุรีสีออกชมพูแดง
44. มุกดาหาร : ช้างนาว
เป็นไม้ยืนต้นในวงศ์ Ochnaceae ลำต้นคดงอ ใบอ่อนสีน้ำตาลแดง กิ่งก้านออกต่ำ ดอกสีเหลือง กลีบรองดอกสีแดงคล้ำ ผลกลม เป็นดอกไม้ที่เป็นที่นิยมมากทางภาคใต้ของเวียดนามและเป็นดอกไม้ประจำจังหวัดมุกดาหาร นอกจากนี้ยังมีอีกหลายชื่อเรียก ไม่ว่าจะเป็นตานเหลือง, กำลังช้างสาร หรือ ตานนกกด
45. แม่ฮ่องสอน : กระพี้จั่น
เป็นพันธุ์ไม้พระราชทานเพื่อปลูกเป็นสิริมงคลประจำจังหวัดแม่ฮ่องสอน ตามมติตามคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2537 เปลือกต้นค่อนข้างเรียบ ใบประกอบแบบขนนกชั้นเดียว ดอกช่อ กลีบดอกสีม่วงหรือม่วงคราม ผลแห้งแตก เมล็ดกลมแบน เนื้อไม้ใช้ทำเยื่อกระดาษและดอกไม้ประดิษฐ์ ใบอ่อนรับประทานเป็นผักหรือใส่ในแกง
46. ยโสธร : กระบาก
พันธุ์ไม้มงคลพระราชทานประจำจังหวัดยโสธร เป็นไม้ยืนต้นสูง 5–25 เมตร เปลือกขรุขระสีเทา ตามกิ่งมีช่องอากาศเป็นจุด ๆ ใบเป็นใบประกอบแบบขนนกรูปไข่แกมรูปหอกปลายใบแหลม ขอบใบหยักเว้าหรือหยักกลมๆ ออกดอกเป็นช่อขนาดใหญ่ตั้งตรง กลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นท่อเล็กๆ ผลเป็นฝัก เมล็ดมีปีก มีหลายชื่อเรียกแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ เช่นกระบาก ตะบาก (ลำปาง), กระบากขาว (ชลบุรี, ชุมพร, ระนอง), ประดิก (เขมร-สุรินทร์), พนอง (จันทบุรี, ตราด) เป็นต้น
47. ยะลา : โสกเหลือง
ไม้ต้นไม่ผลัดใบชนิดหนึ่งในวงศ์ถั่ว (Fabaceae) เป็นต้นไม้ขนาดกลาง สูง 5-15 เมตร ไม่ผลัดใบ เรือนยอดกลมทึบ เปลือกเรียบสีเทาอมน้ำตาล มีช่องระบายอากาศเป็นตุ่มกระจายทั่วลำต้น ใบประกอบแบบขนนก ปลายคู่ เรียงสลับ ดอกสีเหลืองสด ดอกที่บานแล้วจะมีสีเข้มกว่าดอกอ่อน ออกรวมเป็นช่อแบบช่อเชิงหลั่นที่ปลายกิ่งและลำต้น ฝักแห้งแตกแบน รูปขอบขนานแกมรูปใบหอก ผิวสีแดงปนน้ำตาล ปลายฝัก โค้งทั้งสองด้าน
48. ร้อยเอ็ด : กระบก
ภาคเหนือเรียกมะมื่น ภาคอีสานเรียกหมากบก เป็นไม้ยืนต้นในวงศ์ Irvingiaceae ไม่ผลัดใบ เปลือกสีเทาอ่อนปนน้ำตาล ใบเดี่ยวเรียงสลับ ดอกขนาดเล็กออกดอกรวมกันเป็นช่อโตที่ปลายกิ่งสีขาวอมเขียวอ่อน ผลกลมรีทรงกล้วยไข่ เมื่อแก่จะเข้มขึ้น สุกเป็นสีเหลืองอมเขียว เนื้อเละ เมล็ดแห้ง เมล็ดมีน้ำมันมาก ใช้ทำสบู่และเทียนไขได้ เนื้อในเมล็ด บำรุงเส้นเอ็นและไขข้อ ฆ่าพยาธิในท้องได้
49. ระนอง : อบเชย
ไม้ยืนต้นขนาดเล็ก เปลือกหอม หนา ลอกได้เป็นแผ่น ไม่ค่อยแตกกิ่ง เปลือกสีอมเทา ใบเดี่ยว เนื้อใบหนาคล้ายหนัง ใบรูปรี ด้านบนของใบมีเส้นแขนงใบออกจากจุดโคนใบเป็นร่องลึกเด่นชัด 3 เส้น ก้านใบค่อนข้างใหญ่ ช่อดอกออกที่ปลายยอด ดอกออกเป็นช่อใหญ่ แตกแขนงใกล้ยอด ผลมีเนื้อ อวบน้ำ รูปรีหรือค่อนข้างกลม
50. ระยอง : สารภีทะเล
มีชื่อพื้นเมืองอื่นๆ อีกเช่น กากะทิง (ภาคกลาง), ทิง (กระบี่), เนาวกาน (น่าน), สารภีแนน (ภาคเหนือ) เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่สูง 20–25 เมตร เปลือกเรียบสีเทาอ่อนหรือน้ำตาลปนเหลือง เปลือกในสีชมพูเนื้อไม้สีน้ำตาลปนแดง ใบเป็นใบเดี่ยว ไม่ผลัดใบ เรือนยอดเป็นพุ่มกลม สีเขียวเข้ม กิ่งอ่อนเกลี้ยง ออกดอกเป็นช่อสั้นที่ซอกใบบริเวณปลายกิ่ง มีดอกย่อย กลีบดอกสีขาว ผลเป็นผลสดทรงกลม ปลายผลเป็นติ่งแหลม เมื่อสุกจะมีสีเหลือง กระทิงเป็นพืชมีพิษ เมื่อรับประทานราก เปลือก และใบเข้าไปจะมีผลต่อหัวใจ
51. ราชบุรี : โมกมัน
เป็นพืชในวงศ์ตีนเป็ด (Apocynaceae) ลักษณะเป็นไม้ต้นผลัดใบ สูงได้ถึง 20 เมตร ใบรูปรียาว ดอกสีขาวอมเขียว เหลืองอ่อนหรือสีชมพู ผลรูปกระสวยติดกัน โมกมันนิยมปลูกเป็นไม้ประดับ เปลือกต้นและรากใช้แก้พิษสัตว์กัดต่อยและโรคไต นอกจากนี้ยังใช้ย้อมสีได้ เนื้อไม้ใช้ทำของใช้
52. ลพบุรี : พิกุล
ไม้ยืนต้น มีดอกหอม สีขาว มีชื่อพื้นเมืองอื่น ๆ คือ แก้ว (เชียงใหม่) ซางดง (ลำปาง) ตันหยง (นราธิวาส) ต้นพิกุลเป็นพันธุ์ไม้มงคลพระราชทานประจำจังหวัดลพบุรี และเป็นต้นไม้ประจำเขตมีนบุรี ในกรุงเทพมหานคร พิกุลเป็นไม้ยืนต้น ใบเดี่ยว เรียงเวียนสลับ รูปรี รูปไข่ ปลายใบแหลมเป็นติ่งขอบใบเป็นคลื่น ดอกเดี่ยว อยู่รวมกันเป็นกระจุกที่ปลายกิ่งหรือที่ซอกใบ ดอกสีขาว เมื่อใกล้โรยสีเหลืองอมน้ำตาล ดอกบานวันเดียวแล้วร่วง มีกลิ่นหอม ออกดอกตลอดปี ผลสีเหลืองรสหวานอมฝาด ปลูกได้ดีในดินทุกชนิด
53. ลำปาง : ขะจาว
เป็นชื่อไม้ต้นผลัดใบขนาดใหญ่ชนิด Holoptelea integrifolia ในวงศ์ Ulmaceae สูง 15–30 เมตร ขึ้นอยู่ตามป่าเบญจพรรณและป่าทุ่งบนที่ราบหรือตามเชิงเขาที่ไม่สูงจากระดับน้ำทะเลมากนัก เป็นไม้ที่โตเร็วและทนไฟป่าได้ดี เนื้อไม้สดมีสีเหลืองอ่อนหรือเหลืองมะนาว เมื่อแห้งเป็นสีนวล แข็งพอประมาณ ใช้ในการก่อสร้างที่ไม่ต้องรับนํ้าหนักมากนัก ทำเครื่องเรือน เครื่องกลึง แกนร่ม ก้านและกล่องไม้ขีดไฟ
54. ลำพูน : จามจุรี
พืชในวงศ์ถั่ว Leguminosae ในวงศ์ย่อย Minosoideae เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ มีกิ่งก้านสาขามาก มีใบขนาดเล็ก ดอกสีชมพู มีผลเป็นฝัก เมล็ดแข็ง ผลมีเนื้อสีชมพูรสหวาน สัตว์เคี้ยวเอื้องชอบกินเป็นอาหาร จามจุรีเป็นเป็นพันธุ์ไม้พระราชทานเพื่อปลูกเป็นมงคลประจำจังหวัดลำพูน และยังเป็นต้นไม้ประจำจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา, โรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, โรงเรียนหาดใหญ่วิทยาลัย มีชื่อเรียกอื่นๆ อีกตามแต่ละพื้นที่ ได้แก่ ก้ามกราม ในภาคกลาง, สำสา ในภาคเหนือและอีสาน เป็นต้น
55. เลย : สนสามใบ
เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ ลำต้นตรง เปลือกสีน้ำตาลแดง หลุดออกเป็นเกล็ด ใบเดี่ยวเป็นกระจุก โคนตัวผู้ออกเป็นกลุ่ม เมื่ออ่อนเป็นสีเหลืองซีด แก่แล้วเป็นสีม่วง โคนตัวเมียสีม่วงอมเขียว เป็นเกล็ดเล็กๆ เรียงเวียน เมล็ดมีครีบสีขาวบางเป็นปีก เนื้อไม้ใช้ทำโครงสร้างต่างๆ ของบ้าน เช่น ฝา เสา หลังคา และใช้ทำฟืน
56. ศรีสะเกษ : ลำดวน
พันธุ์ไม้มงคลพระราชทานประจำจังหวัดศรีสะเกษ สูง 5 - 20 เมตร ไม่ผลัดใบ ลำต้นเปลาตรง มีเปลือกสีน้ำตาลแตกขรุขระเป็นสะเก็ด ใบเดี่ยว เรียงสลับ ดอกมีสีนวลกลิ่นหอม กลีบดอกหนาและแข็ง กลีบดอก ชั้นนอก 3 กลีบแผ่ออก ชั้นใน 3 กลีบ หุบเข้าหากัน ออกดอกเดือนธันวาคม - กุมภาพันธ์ ผลเป็นผลกลุ่มทรงกลม เส้นผ่าศูนย์เมื่อสุกสีดำ รสหวานอมเปรี้ยว
57. สกลนคร : อินทนิลน้ำ
ไม้ยืนต้นที่พบขึ้นทั่วไปตามที่ราบลุ่มและบริเวณริมฝั่งแม่น้ำ ลำห้วย ในป่าเบญจพรรณชื้นและป่าดงดิบทั่วทุกภาค ดอกออกเป็นช่อสวยงาม ออกรวมกันเป็นช่อโตตามปลายกิ่งหรือตามง่ามใบใกล้ๆ ปลายกิ่ง มีสี ต่างๆ กันเช่น สีม่วงสด ม่วงอมชมพูหรือชมพูล้วนๆ มีชื่อเรียกในแต่ละท้องถิ่นต่างๆ กัน เช่น ตะแบกอินเดีย ฉ่องมู ซอง (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี) อินทนิล (ภาคกลาง ภาคใต้) ตะแบกดำ (กรุงเทพฯ) และกากะเลา ในอีสาน
58. สงขลา : สะเดาเทียม
พันธุ์ไม้พระราชทานประจำจังหวัดสงขลา เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ สูงราว 20-35 เมตร ชื่อทางพฤกษศาสตร์ว่า Azadirachta excelsa (Jack) Jacobs. จัดอยู่ในตระกูล Meliaceae เปลือกต้นสีเทาเรียบ พอต้นอายุมากเปลือกจะแตกเป็นแผ่นล่อนสีเทาปนดำ เนื้อไม้มีคุณภาพดี ใบประกอบแบบขนนก ขึ้นเรียงสลับและกระจุกอยู่ใกล้ปลายกิ่ง ใบย่อยรูปทรงรีเป็นรูปไข่บางใบเบี้ยวไม่มีรูปทรง ดอกออกเป็นช่อตามซอกใบและปลายกิ่ง มีสีขาวอมเหลือง ส่งกลิ่นหอมทั้งวัน กลีบดอกเป็นรูปทรงรี ใบกับเมล็ด
59. สตูล : กระซิก
เป็นไม้พุ่มรอเลื้อยสูง 5-20 เมตร กิ่งอ่อนมีขนเล็กน้อย เมื่อแก่เกลี้ยง ลำต้นมักมีหนาม แผ่นใบรูปขอบขนานแกมรูปไข่ ถึงรูปขอบขนานแกมรูปใข่กลับ ช่อดอกแบบช่อแยกแขนง ออกตามปลายกิ่ง ดอกขนาดเล็กสีขาว มีกลิ่นหอม ผลเป็นฝักแบน รูปรีโค้งถึงรูปขอบขนานโค้ง เมล็ดรูปใตเรียงติดตามยาวของฝัก ฝักแก่ไม่แตก เนื้อไม้ใช้นำมาทำเครื่องเรือน เครื่องกลึง แกะสลัก เครื่องดนตรี ใช้เป็นยาแก้ไข้ น้ำมันจากเนื้อไม้ใช้รักษาแผลเรื้อรัง แก่นและรากมีกลิ่นหอมใช้ทำธูปได้
60. สมุทรปราการ : โพทะเล
เป็นชนิดของไม้ดอกในตระกูล Malvaceae ต้นขนาดเล็กหรือไม้พุ่ม สกุลเดียวกับปอทะเลและมีลักษณะคล้ายคลึงกัน ดอกสีเหลือง บานตอนเช้า แก่แล้วเปลี่ยนเป็นสีแดงเช่นกัน ใต้ใบมีขนอ่อนปกคลุมทำให้น้ำระเหยออกจากใบได้ช้า ผลกลม เมื่อแก่เต็มที่เป็นผลแห้ง กลีบเลี้ยงรูปถ้วยติดอยู่ที่ขั้วผล ไม้โพทะเลนำมาทำเครื่องเรือน เป็นพันธุ์ไม้มงคลพระราชทานประจำจังหวัดสมุทรปราการ ดอกของโพทะเลเป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้เพื่อเอกราชในศรีลังกา โดยขบวนการสุริยามัลใช้ดอกนี้แทนดอกพอปปีในวันรำลึกถึงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
61. สมุทรสงคราม : จิกทะเล
จิกทะเลเป็นทั้งพันธุ์ไม้มงคลพระราชทานและดอกไม้ประจำจังหวัดสมุทรสงคราม ต้นใหญ่สูงราว 20 เมตร ใบขนาดใหญ่ มันวาว มีความหนา ป้องกันการสูญเสียน้ำ ดอกขนาดใหญ่ สีขาว เกสรตัวผู้เป็นพู่ยาวเห็นได้ชัดเจน สีขาว ปลายชมพู ดอกมีกลิ่นหอมแรง บานตอนค่ำและโรยตอนเช้า ผสมเกสรด้วยผีเสื้อกลางคืนและค้างคาว ผลขนาดใหญ่ ทรงคล้ายลูกข่าง มีกากเหนียวหุ้มทำให้ลอยน้ำได้ดีคล้ายผลมะพร้าว ในเมล็ดและลำต้นมีสารซาโปนิน ใช้ทำยาเบื่อปลาและยานอนหลับ
62. สมุทรสาคร : พญาสัตบรรณ
พญาสัตบรรณ หรือ ตีนเป็ด เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่มีความสูงประมาณ 12–20 เมตร อยู่ในวงศ์ Apocynaceae มีถิ่นดั้งเดิมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และพบได้ทุกภาคในประเทศไทย
พญาสัตบรรณ ถือเป็นไม้มงคลของจังหวัดสมุทรสาคร เมื่อ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2537 ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาครได้รับพระราชทานพันธุ์ไม้ดังกล่าวจากสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในวโรกาสที่เสด็จพระราชดำเนินเป็นองค์ประธานเปิดวันรณรงค์โครงการปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติ และเพื่อความเป็นศิริมงคลของประชาชนชาวจังหวัดสมุทรสาคร ผู้ว่าฯ ในขณะนั้น จึงได้นำพันธุ์ไม้พญาสัตบรรณพระราชทานมาปลูกเป็นปฐมฤกษ์ ในกิจกรรมวันปลูกต้นไม้ตามโครงการปลูกป่าถาวรเฉลิมพระเกียรติ นอกจากนี้ต้นพญาสัตบรรณยังเป็นต้นไม้ประจำเขตพญาไท ในกรุงเทพมหานครอีกด้วย
63. สระแก้ว : มะขามป้อม
ต้นไม้ประจำจังหวัดสระแก้ว ไม้ยืนต้นชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์ Phyllanthaceae เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก-กลาง สูง 8-12 เมตร ลำต้นมักคดงอ เปลือกนอกสีน้ำตาลอมเทา ผิวเรียบหรือค่อนข้างเรียบ เปลือกในสีชมพูสด ใบเดี่ยว มีลักษณะคล้ายใบประกอบคล้ายใบมะขาม รูปขอบขนานติดเรียงสลับ สีเขียวอ่อนเรียงชิดกัน ใบสั้นมาก เส้นแขนงใบไม่ชัดเจน เป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงที่สุดในบรรดาผลไม้ทั้งหมดและมีคุณค่าทางสมุนไพร ใช้รับประทานเพื่อบรรเทาหวัด แก้ไอ และละลายเสมหะได้
64. สระบุรี : ตะแบก
ตะแบกเป็นพันธุ์ไม้พระราชทานประจำจังหวัดสระบุรี เป็นต้นไม้ผลัดใบ 15–30 เมตร ใบเดี่ยว ออกตรงข้ามหรือเยื้องกันเล็กน้อย ใบอ่อนสีแดงมีขนสั้นอ่อนนุ่มปกคลุม ใบแก่ขนจะหลุดหายไป แผ่นใบรูปขอบขนานแกมรูปหอก ปลายใบเป็นติ่งแหลม ดอกสีม่วงอมชมพูต่อมาเปลี่ยนเป็นสีขาวหรือเกือบขาว ออกรวมกันเป็นช่อตามปลายกิ่ง ผล รูปรี ออกดอก เนื้อไม้ละเอียดแข็ง ใจกลางมักเป็นโพรง ใช้ทำสิ่งปลูกสร้างที่รับน้ำหนัก เสา กระดานพื้น และเครื่องมือการเกษตร และนิยมปลูกเป็นไม้ประดับ
65. สิงห์บุรี : มะกล่ำต้น
ไม้ยืนต้นในวงศ์ Leguminasae โคนต้นมีพูพอน ผิวเรียบ สีเทาอมน้ำตาล ใบประกอบแบบขนนกสองชั้น ใบย่อยรูปไข่ ดอกช่อแบบแตกแขนง เกสรตัวผู้สีเหลืองจำนวนมาก เห็นเป็นพู่ ผลเดี่ยว เป็นฝักแบน ยาวขดเป็นวง มะกล่ำต้นได้ชื่อว่าเป็นพืชที่ตรึงก๊าซไนโตรเจน ใช้เป็นอาหารสัตว์ สมุนไพร และยังเป็นไม้ประดับได้ เนื้อไม้มีความแข็งแกร่งมากใช้ทำเรือและใช้ทำเครื่องเรือน มะกล่ำตาช้างเป็นพืชที่มีพิษ โดยเฉพาะส่วนเมล็ดสีแดงมีพิษสูงมาก หากรับประทานเข้าไป อาจทำให้เสียชีวิตได้ รากมีรสเปรี้ยว ใช้เป็นยาแก้ร้อนใน เมล็ดและใบแก้ริดสีดวงทวารหนัก ใช้เป็นยาเบื่อพยาธิ
66. สุโขทัย : มะค่าโมง
ต้นไม้มงคลพระราชทานประจำจังหวัดสุโขทัย เป็นไม้เนื้อแข็งยืนต้นที่มีขนาดใหญ่ชนิดหนึ่งที่สามารถปลูกเป็นไม้ทางเศรษฐกิจได้ ผลัดใบช่วงสั้นๆ สูงได้ถึง 30 เมตร แตกกิ่งก้านเป็นพุ่มกว้าง เปลือกต้นสีเทาอ่อนหรือสีชมพูอมน้ำตาล ผิวต้นขรุขระ เนื้อไม้มีลวดลายสวยงามสีน้ำตาลอมเหลือง ใบ เป็นใบประกอบแบบขนนกชั้นเดียว ปลายใบคู่ ออกเรียงสลับ ผิวเปลือกเรียบไม่มีหนาม เปลือกแข็งหนาเป็นเนื้อไม้ ปลายเป็นจะงอยสั้นๆ ฝักแก่สีน้ำตาลเข้มเกือบดำ พอแห้งแตกออกเป็น 2 ซีก มีเมล็ดแข็ง จัดเป็นไม้เด่น 1 ใน 5 ที่พบในป่าเบญจพรรณ
67. สุพรรณบุรี : มะเกลือ
มะเกลือเป็นพันธุ์ไม้พระราชทานเพื่อปลูกเป็นมงคลของจังหวัดสุพรรณบุรี เป็นไม้ยืนต้นในวงศ์ Ebenaceae พบขึ้นตามป่าเบญจพรรณทั่วไป มะเกลือไม้ต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ สูง 10-30 เมตร ใบกว้าง เรือนยอดเป็นพุ่มกลมกิ่งอ่อนมีขนนุ่ม ผลดิบของมะเกลือมีสรรพคุณเป็นยา จัดเป็นพืชสมุนไพรชนิดหนึ่ง สมัยก่อนนิยมใช้ยางผลมะเกลือไปย้อมผ้า ผลที่เปลือกเป็นสีดำ เมื่อรับประทานทำให้หน้ามืด ตาลายตาพร่ามัว อาเจียน ท้องเดินและตาบอดได้ ในภาคเหนือเรียกต้นไม้ชนิดนี้ว่า มะเกีย มะเกือ หรือ ผีผา ทางใต้เรียกว่า เกลือ
68. สุราษฎร์ธานี : เคี่ยม
ต้นเคี่ยมเติบโตสูงได้ถึง 45 เมตร โดยมีเส้นผ่านศูนย์กลางลำต้นได้มากถึง 1.2 เมตร เปลือกสีน้ำตาลเข้มอมดำ ผิวแตกเป็นร่องลึกหลุดออกได้ ใบเดี่ยว ลักษณะเรียบเป็นมันรูปใบหอกถึงรูปไข่ ดอกช่อสีเหลืองอ่อน เมื่อบานเต็มที่กลีบดอกจะบิดห่อเข้าหากัน ผลเดี่ยวมีปีกสีเขียวทรงลูกข่าง ผลแก่สีน้ำตาลปลิวตามลมได้ เนื้อไม้แข็งแรงทนทานใช้ในงานก่อสร้าง เปลือกไม้ใส่ในภาชนะรองรับน้ำตาลไม่ให้บูดเน่า ใช้เป็นยาห้ามเลือด แก้ท้องร่วง
69. สุรินทร์ : มะค่าแต้
เป็นไม้ยืนต้นในวงศ์ Leguminosae ผลัดใบ ใบประกอบแบบขนนกปลายคู่ ดอกช่อมีดอกย่อยจำนวนมาก ฝักแบนหรือกลมแบน ในภาคอีสานของไทยมีมะค่าแต้สองสายพันธุ์คือแต้โหลน ฝักแบบรูปไข่ ไม่มีหนาม และแต้หนาม ฝักแบนรูปไข่ มีหนาม นิยมใช้เนื้อไม้ในการก่อสร้าง ของใช้ เปลือกนำมาแช่น้ำให้ได้น้ำสีน้ำตาลแดง ใช้แช่แผลจากการคลอดบุตรให้สมานตัวเร็ว ไม่ติดเชื้อ
70. หนองคาย : ชิงชัน
ไม้ยืนต้นประเภทไม้ผลัดใบ อยู่ในวงศ์ Leguminosae ชนิดหนึ่ง วงศ์เดียวกับประดู่ เปลือกจะมีความหนา เป็นสีน้ำตาลอมเทา สามารถล่อนออกเป็นแว่นๆได้ ใบประกอบแบบขนนก ดอกมีขนาดเล็กที่รวมกันเป็นช่อ ฝักเป็นรูปหอกแต่แบนรากมีความลึกมาก นิยมนำมาทำเป็นเครื่องเรือน เครื่องดนตรีต่างๆ รวมถึงให้ประโยชน์ทางด้านสมุนไพรอีกด้วย
71. หนองบัวลำภู : พะยูง
ต้นไม้เนื้อแข็งที่เนื้อไม้มีลวดลายสวยงาม สูง 15–25 เมตร เปลือกสีเทาเรียบ ใบเป็นช่อแบบขนนกปลายใบเดี่ยว เรียงสลับ ดอกขนาดเล็กสีขาว กลิ่นหอมอ่อน ออกรวมกันเป็นช่อตามง่ามใบ และตามปลายกิ่ง ผล เป็นฝักรูปขอบขนานแบนบาง จัดเป็นไม้เศรษฐกิจที่มีราคาสูงและมีความเชื่อว่าเป็นไม้มงคล เป็นพันธุ์ไม้พระราชทานเพื่อปลูกเป็นมงคลจังหวัดหนองบัวลำภู
72. อ่างทอง : มะพลับ
ไม้ต้นขนาดกลางใบเดี่ยวที่อยู่ในวงศ์ Ebenaceae วงศ์เดียวกับต้นตะโก สูงประมาณ 8 - 15 เมตร เปลือกต้นสีเทาปนดำ ทรงพุ่มกลมทึบ การเกาะติดของใบบนกิ่งแบบสลับ ใบเป็นใบเดี่ยว รูปขอบขนาน ดอกออกเป็นช่อที่ซอกใบ ดอกขนาดเล็กสีขาวนวล มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ผลทรงกลมเมื่อสุกจะมีสีส้มเหลือง สามารถรับประทานได้มีรสชาติอร่อย ต้นมะพลับนอกจากมีผลที่กินได้แล้วยังมีคุณค่าในทางสมุนไพรสูงมากด้วย เป็นไม้มงคลชนิดหนึ่งของคนไทย กำหนดปลูกไว้ทางทิศใต้ เชื่อกันว่าการปลูกต้นมะพลับในบริเวณบ้านจะทำให้ร่ำรวยยิ่งขึ้น
73. อำนาจเจริญ : ตะเคียนหิน
เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงใหญ่ สูง 15–30 เมตร เรือนยอดเป็นพุ่มกลมหรือรูปกรวยแหลม โคนต้นมีพูพอน ใบเป็นใบเดี่ยวเรียงสลับ รูปหอกแกมรูปไข่ ดอกเป็นช่อแบบแยกแขนงสั้น ออกระหว่างง่ามใบหรือปลายกิ่ง มีสีขาวหรือสีเหลืองอ่อน ผลแห้งไม่แตก มีผิวแข็ง เป็นพันธุ์ไม้มงคลพระราชทานประจำจังหวัดอำนาจเจริญ ลำต้นใช้ทำของใช้ได้ เนื้อไม้และดอกสามารถนำมาทำเป็นยารักษาโรค
74. อุดรธานี : รัง
เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบ ความสูง 15–20 เมตร เปลือกต้นสีเทาแตกเป็นร่องตามความยาวลำต้น ใบเป็นใบเดี่ยวเรียงสลับ แผ่นใบรูปไข่ ปลายใบมน โคนใบหยักเว้า ดอกสีเหลืองออกเป็นช่อ กลิ่นหอมอ่อน มีคุณสมบัติในการทนแล้งและทนไฟได้ดีมาก พบในประเทศอินโดนีเซีย, มาเลเซีย, พม่า และไทย เป็นพันธุ์ไม้มงคลพระราชทานประจำจังหวัดอุดรธานี
75. อุตรดิตถ์ : สัก
ไม้ต้นขนาดใหญ่ผลัดใบในฤดูร้อน ลำต้นเปลาตรงเปลือกเรียบหรือแตกเป็นร่องเล็กๆ สีเทา โคนเป็นพูพอนต่ำเรือ นยอดเป็นพุ่มทรงกลมค่อนข้างทึบ เปลือกสีเทา เรียบ หรือแตกเป็นร่องตื้นตามความยาวลำต้น ขึ้นเป็นหมู่ในป่าเบญจพรรณทางภาคเหนือ ต้นสักที่ใหญ่และมีอายุมากที่สุดในโลกมีอายุมากกว่า 1,500 ปี ได้รับชื่อพระราชทานนามว่า มเหสักข์ อยู่ภายในวนอุทยานต้นสักใหญ่ บ้านปางเกลือ ตำบลน้ำไคร้ อำเภอน้ำปาด จังหวัดอุตรดิตถ์ มีความสูง 47 เมตร ลำต้นเส้นวงรอบ 10 เมตร 23 เซนติเมตร ใช้ 9 คนโอบโดยรอบ ขนาดความโต 1020 .7 เซนติเมตร ซึ่งเฉลี่ยโตขึ้นปีละ 1.3 เซนติเมตร
76. อุทัยธานี : สะเดา
เป็นไม้ต้น สูง 15 - 25 เมตร เปลือกต้นแตกเป็นร่องลึกตามยาว ยอดอ่อนสีน้ำตาลแดง ใบประกอบแบบขนนก ออกเรียงสลับรูปใบหอก โคนใบมนไม่เท่ากัน ขอบใบจักเป็นฟันเลื่อย แผ่นใบเรียบ สีเขียวเป็นมัน ดอกออกเป็นช่อที่ปลายกิ่งขณะแตกใบอ่อน ดอกสีขาวนวล ผลรูปทรงรีผิวเรียบ ผลอ่อนสีเขียว สุกเป็นสีเหลืองส้ม ใช้ประโยชน์ได้มากมายทั้งเป็นอาหารและสร้างที่อยู่อาศัย มีชื่อเรียกอื่นตามภูมิภาค ได้แก่ สะเลียม ในภาคเหนือ และ กะเดา ในภาคใต้
77. อุบลราชธานี : ยางนา
เป็นพันธุ์ไม้พระราชทานเพื่อปลูกเป็นมงคล ประจำจังหวัดอุบลราชธานี ความสูงถึง 40 เมตร ลำต้นตรง เปลือกเรียบสีเทาปนขาว โคนต้นเป็นพูพอน เรือนยอดเป็นพุ่มกลม ทึบ ใบ เป็นใบเดี่ยว ดอกสีชมพู ออกดอกเป็นช่อสั้นๆ ตามซอกใบและปลายกิ่ง ยางนาเป็นไม้หวงห้าม นิยมนำมาใช้ในการก่อสร้าง ใช้ทำฝาบ้านเรือน ไม้อัด เครื่องเรือน เรือขุดและเรือขนาดย่อม คนอีสานใช้น้ำมันจากต้นยางทำขี้ใต้จุดไฟน้ำมันผสมกับชันใช้ทาไม้ เครื่องจักรสาน ยาเรือ และใช้เดินเครื่องยนต์แทนน้ำมันขี้โล้
ที่มา : ส่วนผลิตกล้าไม่ สำนักส่งเสริมการปลูกป่า กรมป่าไม้
Advertisement