รถพังเพราะอะไรบ่อยที่สุด? หลายคนอาจจะนึกถึงภาพรถชน, เครื่องพัง, หรือเบรกแตกแบบฉับพลัน แต่ความจริงแล้ว รถส่วนใหญ่ไม่ได้พังจากเหตุการณ์ใหญ่โตแบบนั้นเสมอไป สิ่งที่ทำให้รถค่อยๆ เสื่อม ค่อยๆ พัง จนถึงจุดที่ต้องเสียเงินก้อนโตหรือทิ้งรถไปเลย กลับเป็นสิ่งเล็กๆ ที่คนมองข้าม เป็นสิ่งที่เราคิดว่า "ยังไงก็ไม่เป็นไร" หรือ "เดี๋ยวค่อยซ่อมก็ได้" แต่เมื่อปล่อยทิ้งไว้ มันกลายเป็นปัญหาใหญ่ชนิดที่คุณต้องถามตัวเองว่า "รู้งี้ดูแลมันตั้งแต่แรกก็ดี..."
หนึ่งในสาเหตุที่พบบ่อยมาก คือการ ไม่เปลี่ยนของเหลวตามระยะ โดยเฉพาะน้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ น้ำมันเบรก หรือแม้แต่น้ำหล่อเย็น หลายคนเข้าใจว่าน้ำมันเครื่องแค่ดูว่ายังมีอยู่ก็พอ แต่ความจริงคือคุณสมบัติของน้ำมันจะเสื่อมตามเวลาและระยะทาง แม้คุณจะไม่ค่อยได้ขับ น้ำมันเครื่องก็ยังเสื่อมอยู่ดี ถ้าปล่อยให้เสื่อมจนหมดสภาพ มันจะไม่สามารถหล่อลื่นหรือระบายความร้อนได้ ส่งผลให้เครื่องยนต์สึกหรอแบบเงียบๆ และในที่สุดก็อาจพังทั้งเครื่องแบบไม่รู้ตัว
ในกรณีน้ำมันเบรก หลายคนไม่รู้เลยว่ามันต้องเปลี่ยนทุก 1-2 ปี เพราะน้ำมันเบรกดูเหมือนจะอยู่ได้ตลอดเวลา แต่จริงๆ แล้วมันดูดความชื้นจากอากาศ และเมื่อมีความชื้นสะสมมากขึ้น มันจะทำให้ระบบเบรกทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ เสี่ยงต่อการเบรกเฟลแบบไม่มีสัญญาณเตือน โดยเฉพาะเวลาขับลงเขาหรือเบรกหนัก น้ำมันเบรกที่เสื่อมอาจทำให้เบรก "จม" และเกิดอุบัติเหตุได้ทันที
อีกเรื่องหนึ่งที่มักโดนมองข้ามคือ ระบบแอร์ หลายคนขับไปจนแอร์ไม่เย็น ค่อยมานึกได้ว่าไม่เคยล้างตู้แอร์หรือเปลี่ยนแผ่นกรองเลย ตู้แอร์สกปรกอาจไม่ใช่แค่ทำให้แอร์ไม่เย็น แต่มันคือแหล่งสะสมของเชื้อรา แบคทีเรีย และกลิ่นอับในรถ ซึ่งอาจทำให้ผู้โดยสารป่วยเป็นไซนัส ภูมิแพ้ หรือปอดอักเสบแบบไม่รู้สาเหตุด้วยซ้ำ แถมถ้าปล่อยไว้นานจนตู้แอร์ตันจริงๆ ค่าซ่อมก็ไม่ใช่น้อย เพราะต้องถึงขั้นถอดคอนโซลหน้ารถเลยทีเดียว
นอกจากนี้ยังมีสิ่งที่ดู “ไม่สำคัญ” แต่ส่งผลเยอะอย่าง ใบปัดน้ำฝน หลายคนใช้จนยางเสื่อมเป็นเส้น สภาพแทบจะขูดกระจก แต่ก็ยังไม่เปลี่ยน เพราะคิดว่าไม่ได้ใช้งานบ่อย แต่วันที่ฝนตกหนักแล้วใบปัดปัดน้ำไม่ออก หรือปัดแล้วเป็นรอยบนกระจกจนมองไม่เห็นข้างหน้า นั่นแหละคือช่วงเวลาที่จะรู้ว่าของแค่หลักร้อย อาจช่วยชีวิตคุณได้ ถ้าเปลี่ยนให้ทันเวลา
เรื่องถัดมาคือ ยางรถยนต์ ยางเก่าไม่ใช่แค่ลื่นหรือเสียงดัง มันคือความเสี่ยงระดับชีวิต ยางที่หมดอายุ แม้จะยังมีดอก แต่โครงสร้างภายในมันเสื่อมแล้ว โดยเฉพาะในรถที่จอดนิ่งนานๆ หรือจอดกลางแดดจัด ยางจะแข็งและแตกลายงาโดยไม่รู้ตัว พอใช้ความเร็วสูงหรือขึ้นเขาลงเขา โอกาสที่ยางจะระเบิดมีสูงมาก และนั่นอาจทำให้รถเสียการควบคุมแบบกะทันหัน เพราะฉะนั้น อย่ามองแค่ดอกยาง ดูปีผลิตของยางด้วย และเปลี่ยนตามรอบที่แนะนำ (ส่วนใหญ่ 3-5 ปี ไม่เกินนี้)
สุดท้ายที่อยากพูดถึง และหลายคนไม่เคยนึกถึงเลยก็คือ ระบบไฟฟ้าเล็กๆ ในรถ เช่น พวกไฟเตือน, ฟิวส์, เซนเซอร์ ฯลฯ เวลามีไฟเตือนโชว์ บางคนเลือกจะละเลย หรือเอาเทปแปะไว้แทนที่จะเอาเข้าศูนย์ บางคนถึงขั้นถอดขั้วแบตเพื่อลบไฟเตือน แล้วคิดว่าจบปัญหา แต่นั่นอาจเป็นแค่ปลายเหตุ เพราะระบบรถสมัยใหม่แทบทุกจุดเชื่อมโยงกันหมด ถ้าเซนเซอร์เสีย 1 ตัว รถอาจเข้าสู่โหมดป้องกัน (safe mode) ทำให้เครื่องไม่แรง หรือบางกรณีอาจดับกลางทางก็มีมาแล้ว ยิ่งรถยุคใหม่ที่มีระบบความปลอดภัยอัตโนมัติ (ADAS) การละเลยระบบไฟฟ้าคือสิ่งที่ไม่ควรทำที่สุด
ทั้งหมดที่พูดมานี้ คือสาเหตุของการพังที่ไม่ได้เกิดจากอุบัติเหตุ ไม่ได้มาจากการขับซิ่ง แต่เกิดจากการละเลยสิ่งที่เหมือนจะเล็กน้อย แต่สะสมความเสียหายได้มหาศาล หลายคนรักรถมากตอนซื้อใหม่ๆ ล้างทุกอาทิตย์ แต่มองข้ามของเหลว, ยาง, แอร์, ไฟเตือน หรือใบปัดน้ำฝน จนในที่สุด รถก็กลายเป็นภาระ และค่าใช้จ่ายตามมาหนักกว่าตอนดูแลซะอีก
สรุปง่ายๆ ว่า รถไม่ได้พังเพราะโชคร้ายเสมอไป แต่บางครั้งมันพังเพราะเราเอง…ที่ไม่เคยใส่ใจมันมากพอ