
หลังจากที่ เมื่อคืนนี้ (11 ธันวาคม 2568) นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีรักษาการ ได้นำพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎรทูลเกล้าฯ เพื่อให้มีการจัดการเลือกตั้งทั่วไปใหม่ ซึ่งถือเป็นการสิ้นสุดวาระของคณะรัฐมนตรีชุดปัจจุบัน แน่นอนว่า คณะรัฐมนตรีทั้งคณะ รวมถึงนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จะต้องพ้นจากตำแหน่ง แต่พวกเขาจะยังคงอยู่ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะ "คณะรัฐมนตรีรักษาการ" จนกว่าจะมีคณะรัฐมนตรีชุดใหม่เข้ามาทำหน้าที่หลังการเลือกตั้ง
ปฏิเสธไม่ได้ว่า หลายคนเป็นกังวลเรื่องสถานการณ์ปะทะชายแดนไทย-กัมพูชาที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ อาจเป็นจุดอ่อนให้กัมพูชาเดินเกมรุกขณะที่การเมืองภายในของไทยอ่อนแอที่สุด ซึ่งประชาชนต่างตั้งคำถามว่าทั้งเรื่องการทูต การทหาร และการจัดการชายแดนจะไปกันต่ออย่างไร
ทีมข่าว Spotlight ได้รับเกียรติจาก อาจารย์ ดร. ปองขวัญ สวัสดิภักดิ์ อาจารย์ประจำสาขาวิชาการระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับท่าทีการทูตไทยที่ผ่านมาเป็นอย่างไรบ้าง รวมถึงเปิดมุมองว่าทิศทางการทูตไทยควรเดินหน้าไปในทิศทางใด เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศไทยมากที่สุด
การปะทะที่ยกระดับความรุนแรง กินเวลานานถึง 5 วันเต็ม ในรอบแรกของวิกฤตการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา เกิดขึ้นในช่วง ปลายเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2568 ที่ผ่านมา ขณะนั้นนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และเป็นบุคคลสำคัญในการชี้แจงและดำเนินมาตรการทางการทูตเพื่อแก้ไขวิกฤตการณ์ชายแดน
ดูเหมือนว่าท่าทีทางการทูตของไทยในสมัยรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร เป็นไปอย่างนุ่มนวลและเน้นการประสานรอยร้าวด้วยกลไกเจรจาทวิภาคี (Bilateral Channels) และ การทูตทางทหาร (Military Diplomacy) เป็นหลักในการบรรลุข้อตกลงหยุดยิง ณ วันที่ 28 กรกฎาคม บทสรุปคือทั้งสองประเทศตกลงหยุดยิงหลังเที่ยงคืนเป็นต้นไป
แต่ในการปะทะรอบใหม่ซึ่งเริ่มต้นเมื่อวันอาทิตย์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2568 ที่ผ่านมา อยู่ภายใต้รัฐบาลของนายอนุทิน ชาญวีรกูล และมีนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว นั่งเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ชาวไทยจึงได้เห็นท่าทีทางการทูตของไทยที่มีความแข็งกร้าวมากขึ้น ซึ่งเห็นได้การขึ้นไปยืนแถลงบนเวทีการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 80 หรือ UNGA 80 เมื่อวันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2568 ล้วนสร้างความสนใจจากชาวไทยได้ไม่น้อย
“น่าเสียใจที่กัมพูชายังคงแสดงตนเป็นเหยื่อครั้งแล้วครั้งเล่า
พวกเขาได้นำเสนอข้อเท็จจริงในแบบของตนเอง
ซึ่งไม่สามารถพิสูจน์ได้ เพราะเป็นเพียงการบิดเบือนความจริงเท่านั้น”
หนึ่งในประโยคเด็ดที่นายสีหศักดิ์กล่าวบนเวทีระดับนานาชาติ นับเป็นคำพิพาทรุนแรงอย่างยิ่งในวงการทางการทูต แม้คำพูดเหล่านี้อาจ “ได้ใจ” สายบู๊หลายคนในไทย ขณะเดียวกัน ก็อาจทำให้รัฐบาลกัมพูชาต้องรู้สึกขุ่นข้องใจอย่างแน่นอน
อีกหนึ่งท่าทีของทีมทูตไทย ภายใต้การนำของนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว ที่ได้รับคำชื่นชมจากประชาชนบางส่วน คือการปรากฎตัวในสื่อต่างประเทศหลายสำนัก โดยดร. ปองขวัญ สวัสดิภักดิ์ อาจารย์ประจำสาขาวิชาการระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ การเดินสายตอบคำถามสื่อเช่นนี้ นับเป็นการใช้เครื่องมือทางการทูตวิธีหนึ่ง
ดร. ปองขวัญมองว่า “การทูตไม่จำเป็นต้องเป็นการการกระทำระหว่างตัวแทนของสองประเทศเสมอไป แต่ยังเป็นการสื่อสารกับสาธารณชน โดยเฉพาะสาธารณชนในต่างประเทศ เกี่ยวกับเจตนาในการดำเนินนโยบายของรัฐบาล ในปัจจุบัน การทูตอีกลักษณะหนึ่งที่สำคัญมากคือการทูตสาธารณะ กระทำไปเพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีในสายตาประชาชน ถึงแม้ว่าการกระทำของคุณสีหศักดิ์จะไม่ได้เข้าข่ายการทูตสาธารณะโดยตรง แต่ก็ชี้ให้เห็นว่าการสร้างความเข้าใจกับสื่อเป็นหนึ่งในเครื่องมือทางการทูตที่ทำได้”
เมื่อถูกนักข่าว Al Jazeera ถามว่า "ทำไมทั้งสองประเทศถึงสู้รบกัน?" นายสีหศักดิ์ได้ตอบโต้ด้วยการชี้แจงลำดับเหตุการณ์อย่างชัดเจน เขาตอบว่า “ก่อนอื่นเลย ผมอยากจะบอกว่า ประเทศไทยไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มการปะทะกัน แต่ฝ่ายกัมพูชาเป็นฝ่ายเริ่มยิงก่อน และตอนนี้การปะทะกันก็ยังคงดำเนินต่อไป” พร้อมทั้งย้ำว่าา กัมพูชาละเมิด 'ปฏิญญาร่วมกัวลาลัมเปอร์' ด้วยการวางทุ่นระเบิดใหม่ ทำให้ทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ระบุว่าเกิดขึ้นเป็นครั้งที่ 7 ก่อนจะมีการปล่อยข่าวเท็จว่าไทยเป็นฝ่ายรุกราน
อย่างน้อยคำตอบเช่นนี้ ก็นับว่าเป็นการชี้แจงในเวทีโลก สะท้อนความคิดเห็น-ความเชื่อรัฐบาลไทยและประชาชนชาวไทยที่มีต่อเหตุปะทะครั้งนี้ แต่ในบางคำตอบของนายสีหศักดิ์ อาจสร้างความไม่สบายใจให้หลายฝ่ายได้ โดยเฉพาะคำที่ถูกสื่อเกือบทุกสำนักนำไปพาดหัว ระบุว่า ไทย “ไม่มีพื้นที่สำหรับเจรจา” อีกต่อไป
“ในขณะนี้ เราเชื่อว่า ไม่มีพื้นที่สำหรับเจรจาทางการทูต
เพราะรัฐบาลกัมพูชาชุดปัจจุบันได้แสดงให้เห็นถึง
การขาดเจตจำนงทางการเมืองอย่างแท้จริง ที่จะแก้ไขข้อพิพาทชายแดนอย่างสันติ
และไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงก่อนหน้านี้ที่ทั้งสองฝ่ายเคยบรรลุไว้”
คำกล่าวของนายสีหศักดิ์ข้างต้นนี้ ถูกเผยแพร่หลังจากการปะทะรอบใหม่เริ่มขึ้นในวันที่ 8 ธันวาคม 2568 "No space for diplomacy right now" แปลเป็นไทย คือในขณะนี้ เราเชื่อว่า ไม่มีพื้นที่สำหรับเจรจาทางการทูต ซึ่งอาจตีความได้ว่าเป็นคำพูดที่ทรงพลังที่สุดในการส่งสัญญาณไปยังประชาคมโลกว่า ไทยจะใช้มาตรการอื่น เช่น การทหารเพื่อป้องกันตนเอง แต่อาจทำให้หลายฝ่ายเข้าใจว่าไทยในฐานะที่มีกำลังทางทหารแข็งแกร่งกว่าหลายเท่า กำลังรังแกประเทศที่มีศักยภาพทางทหารน้อยกว่าอย่างกัมพูชาหรือไม่
ดร. ปองขวัญ กล่าวว่า “ถ้าในเชิงทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การตอบคำถามเช่นนี้ถือว่าทำได้ค่ะ เป็นการส่งสัญญาณความตั้งใจ (signaling resolve) เพื่อเป็นการเปลี่ยนพฤติกรรมของฝ่ายตรงข้าม การส่งสัญญาณเช่นนี้ถ้าเริ่มส่งไปแล้ว ไม่ควรเปลี่ยนบ่อย ๆ เนื่องจากจะแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลไม่เอาจริงเอาจังกับการส่งสัญญาณดังกล่าว ทำให้อีกฝ่ายอาจไม่ยอมปรับเปลี่ยนพฤติกรรม”
สำหรับประเด็นภาพลักษณ์ของไทยที่อาจกลายเป็นพี่ใหญ้ทำร้ายน้องนั้น ดร. ปองขวัญมองว่า การใช้ความรุนแรงของฝ่ายทหารอาจจะต้องคำนึงเรื่องความเหมาะสมด้วย เนื่องจากการมีความได้เปรียบด้านกำลังทหารมักสร้างอคติ และอาจถูกตีความจากต่างชาติว่าใช้ความรุนแรงเกินความจำเป็น ต้องรอบคอบและมีการประสานงานระหว่างฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายทหารมาก ๆ
ขณะที่ชาวไทยบางส่วนกังวลว่าท่าทีของนายสีหศักดิ์จะแข็งกร้าวเกินไปนั้น ในมุมผู้เชี่ยวชาญอย่าง ดร. ปองขวัญเชื่อว่า การทูตเช่นนี้ก็เป็นการทูตทั่วไป อาจจะไม่เข้าข่ายการทูตสาธารณะโดยตรง แต่เป็นการใช้สื่อเพื่อส่งสัญญาณถึงเจตนาของรัฐบาล สิ่งนี้เป็นสิ่งที่รัฐบาลอื่นใช้อย่างต่อเนื่อง เช่น รัฐบาลสหรัฐฯ เมื่อต้องการบุกเข้าไปอิรัก หรือเพิ่มกำลังทหารในอัฟกานิสถาน ก็มีการใช้สื่อเพื่อชี้แจงเหตุผลของรัฐบาล
แม้ว่าในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้านี้ ประเทศไทยกำลังจะได้ “ท่านทูต” คนใหม่ ที่มาพร้อมกับคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ แต่การทูตไทยยังคงต้องแข็งแกร่งและไปต่อ เพราะสถานการณ์ความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา ไม่ได้หยุดพักและอยู่ในภาวะสุญญากาศแบบการเมืองภายในของไทย ทหารทุกชีวิตกำลังเสี่ยงเป็นโล่กำบังให้ประเทศ และประชาชนในพื้นที่เรือนแสนต้องเข้านอนอย่างหวาดผวาในศูนย์อพยพ
ทีมข่าว Spotlight จึงชวนดร. ปองขวัญเปิดมุมมองเชิงกลยุทธ์ ไม่ว่ารัฐบาลชุดใหม่จะมาจากไหนและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศจะเป็นใคร ประเทศไทยของเราควรจะเดินเกมทางการทูตต่อไปอย่างไรดี เพื่อสร้างผลประโยชน์สูงสุดให้กับประเทศ
ดร. ปองขวัญยังย้ำหนักแน่นว่า สิ่งหนึ่งที่ทำให้ภาพลักษณ์ของไทยดูก้าวร้าวก็คือการใช้กำลังอาจจะไม่เป็นไปตามการส่งสัญญาณเท่าใด นั่นคือถ้าเราเน้นว่าสิ่งที่เราทำคือการตอบโต้ การตอบโต้ของทหารอาจจะต้องอยู่ในลักษณะที่ตีความว่าเป็นการตอบโต้จริงๆ มากกว่าใช้ความรุนแรงเกินขนาด
ส่วนอีกประการหนึ่งคืออาจจะต้องกำหนดเงื่อนไขให้ชัดเจนว่าอะไรแปลว่า “ความจริงใจ” ที่เราต้องการจากฝ่ายกัมพูชา เพราะในขณะเดียวกัน ทางกัมพูชาได้แสดงท่าทีในทางสาธารณะว่าต้องการให้ทหารของตัวเองยับยั้งชั่งใจ (restraint) ซึ่งในสายตาประชาคมโลกดูจะโอนอ่อนและให้ความเห็นใจมากกว่า
อาจารย์ปองขวัญทิ้งท้ายว่า รัฐบาลชุดนี้ได้ทำสิ่งที่สำคัญนั่นก็คือการเริ่มสื่อสารกับนานาชาติแล้ว สิ่งหนึ่งที่เราต้องย้ำให้มากๆ ก็คือ ในขณะนี้ไม่มีพื้นที่สำหรับเจรจาเพราะอะไร และเราจะพร้อมเจรจาเมื่อเห็นพฤติกรรมอะไร ถ้าย้ำประเด็นนี้ให้ชัดเจนอาจจะช่วยเพิ่มภาพลักษณ์ที่ดีของไทยในสายตานานาชาติได้