Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
Spot on  กาซา: หยุดยิงแล้วอย่างไรต่อ? ขั้นต่อไปคือความท้าทายแท้จริง
โดย : ณัฏฐณิชา ภู่คล้าย

Spot on กาซา: หยุดยิงแล้วอย่างไรต่อ? ขั้นต่อไปคือความท้าทายแท้จริง

15 ต.ค. 68
18:55 น.
แชร์

เมื่อวันจันทร์ที่ 13 ตุลาคม 2025 ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ทรัมป์ประกาศจุดสิ้นสุดของสงครามอิสราเอล-ฮามาสที่ดำเนินต่อเนื่องมากว่า 2 ปี โดยมีผู้นำจากกว่า 20 ประเทศเป็นสักขีพยานในความสำเร็จ “นำพาสันติภาพ” ของทรัมป์อีกครั้ง แต่ความสำเร็จนี้จะไปได้ไกลแค่ไหน?

ทรัมป์สร้างความสำเร็จครั้งประวัติศาสตร์จริง ด้วยการทำให้เกิดการหยุดยิงในพื้นที่ฉนวนกาซาได้ หลังพื้นที่ที่ถูกปิดล้อมแห่งนี้สังเวยชีวิตไปมากกว่า 67,000 ชีวิต และยังเกิดการแลกเปลี่ยนตัวประกัน ทั้งตัวประกันชาวอิสราเอลที่ยังมีชีวิตอยู่ทั้ง 20 ชีวิตได้เดินทางกลับบ้านด้วยการอำนวยความสะดวกจากกาชาด และนักโทษชาวปาเลสไตน์กว่า 2,000 คนก็ได้ถูกส่งตัวกลับเช่นกัน

อย่างไรก็ตามนี่เป็นเพียง “ขั้นที่หนึ่ง” ของการฟื้นฟูความสัมพันธ์ในภูมิภาคตะวันออกกลาง และฟื้นฟูฉนวนกาซา ขั้นตอนต่อไปนี้เองที่ดร.ศราวุฒิ อารีย์ ผู้อำนวยการศูนย์มุสลิมศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกล่าวว่าคือ “ความท้าทาย”

“ขั้นที่หนึ่งนั้นง่าย และสามารถประสบความสำเร็จได้ ทั้งเรื่องของการแลกเปลี่ยนตัวประกัน การหยุดยิง และการที่ทหารอิสราเอลต้องถอนกำลังออกไปขากพื้นที่ฉนวนกาซาตามเส้นที่กำหนด เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องที่ยากนัก [...] ” ดร.ศราวุฒิอธิบาย โดยตอกย้ำว่าแม้ขั้นหนึ่งที่สำเร็จจะมีความง่ายกว่าแต่ก็เป็นขั้นตอนที่สำคัญมาก 

“ไม่ว่าจะอย่างไร ทรัมป์สามารถทำให้เกิดการหยุดยิง ประสบความสำเร็จในเบื้องแรก เป็นประวัติศาสตร์ เป็นผลงานของทรัมป์ โดยที่เขาอาจไม่ต้องรับผิดชอบต่อขั้นที่สอง และสาม ที่อาจไม่เกิดขึ้นหรือล้มเหลวก็ตาม” ดร.ศราวุฒิเสริม

หยุดยิงขั้นที่สอง ความท้าทายแท้จริงของสันติภาพตะวันออกกลาง

คงสภาพหยุดยิง ฟื้นข้อตกลงออสโล ความหวัง (ที่กลับมา) ใหม่ของตะวันออกกลาง 

ก่อนคุยกันถึงกระบวนการที่แต่ละฝ่ายต้องทำตามขั้นที่สอง ดร.ศราวุฒิกล่าวว่า สิ่งสำคัญคือการคงสภาพการหยุดยิงเอาไว้ให้นานที่สุด และอาจนำไปสู่การใช้ข้อตกลงเก่าที่ตายไปแล้ว “Oslo Accords” กลับมาใช้ใหม่

“ไม่แน่ว่าขั้นที่สองจะสำเร็จ แต่ขั้นนี้ การคงสภาพการหยุดยิงเอาไว้เป็นเรื่องที่สำคัญ ซึ่งอาจชี้ชะตาอนาคตความขัดแย้งอิสราเอลและปาเลสไตน์ได้อย่างมีนัยยะสำคัญ” ดร.ศราวุฒิกล่าว 

ข้อตกลงออสโลถือกำเนิดขึ้นมาเมื่อปี 1993 ที่กรุงวอชิงตันดี. ซี. ระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ เพื่อหาทางยุติความขัดแย้งระหว่าง 2 ฝ่าย (ลงนามกันอีกครั้งที่อียิปต์ปี 1995) นำมาสู่กระบวนการออสโล

กระบวนการออสโลเป็นกระบวนการที่มุ่งสนอง "สิทธิของชาวปาเลสไตน์ในการกำหนดการปกครองด้วยตนเอง" และบรรลุสนธิสัญญาสันติภาพ ทำให้เกิดความสำเร็จอาทิ การยอมรับรัฐอิสราเอลขององค์การปลดปล่อยปาเลสไตน์ อิสราเอลยอมรับองค์การปลดปล่อยปาเลสไตน์เป็นผู้แทนชาวปาเลสไตน์ และการจัดตั้งองค์การบริหารแห่งชาติปาเลสไตน์ที่มีอำนาจ (อย่างจำกัด) ในเวสต์แบงก์และกาซา

สาเหตุการล้มเหลวครั้งที่ 1 ของข้อตกลงออสโล ดร.ศราวุฒิชี้ว่า เกิดจากการไม่พูดถึงปัญหาหลักระหว่างปาเลสไตน์และอิสราเอล อาทิ หัวข้อเกี่ยวกับพื้นที่เยรูซาเล็ม, ผู้ลี้ภัยปาเลสไตน์, ชาวยิวในเวสต์แบงก์ หรือเขตแดนรัฐปาเลสไตน์ในอนาคต

“ออสโลเป็นกระบวนการเจรจาสันติภาพที่ทุกฝ่ายยอมรับ [...] เป็นกระบวนการที่เป็นรูปธรรมที่สุดในการแก้ไขปัญหาปาเลสไตน์” ดร.กล่าว พร้อมทั้งบอกว่า มีงานวิชาการมากมายอธิบายมูลเหตุความสำเร็จและล้มเหลวของข้อตกลงครั้งนี้ “ฉะนั้น ถ้ามีการนำกระบวนการออสโลกลับมาดำเนินการอีกครั้ง ผมคิดว่าก็จะสร้างความหวัง”

ปลดอาวุธ ตั้งรัฐปาเลสไตน์ การเจรจาขั้นสองที่ล้ำเส้นซึ่งต่างฝ่ายต่างขีดไว้ชัด 

เมื่อคุยถึงโอกาสในการนำข้อตกลงออสโลกลับมาใช้ อีกข้อที่ต้องคุยกันหลังจบสงครามรุนแรงนาน 2 ปีคือ ต่างฝ่ายจะทำอะไรต่อ? คำตอบที่ปรากฎชัดคือ การเรียกร้องให้ฮามาสปลดอาวุธ และตั้งองค์กรบริหารฉนวนกาซาหลังสงคราม

“ขั้นที่สองค่อนข้างยาก เพราะเกี่ยวกับการปลดอาวุธฮามาส ทางฮามาสก็ให้คำมั่นว่าจะปลดอาวุธ แต่ต้องมีการจัดตั้งรัฐปาเลสไตน์เสียก่อน” ดร.ศราวุฒิกล่าว

การปลดอาวุธเป็นเส้นที่ฮามาสขีดไว้มาตลอดว่าจะไม่มีทางเกิดขึ้น และเป็นหัวข้อที่นักวิเคราะห์บางคนชี้ว่า อาจเป็นจุดเปลี่ยนของข้อตกลงหยุดยิง หรือวิเคราะห์ว่า หากฮามาสยอมตกลงก็คงเป็นการปลดอาวุธแค่บางส่วน แต่ไม่ยอมปลดทั้งหมดจนกว่าปาเลสไตน์จะเป็นรัฐ ซึ่งเป็นเส้นที่อิสราเอลเองก็ขีดไว้เช่นกันว่า จะไม่ยอมให้เกิดขึ้น

คำถามที่ว่าฮามาสจะยอมปลดอาวุธหากไม่มีรัฐไหม? หรืออิสราเอลจะยอมให้มีรัฐปาเลสไตน์หรือไม่? ยังคงเป็นคำถามที่ไม่มีคำตอบ ฉะนั้นสิ่งที่เป็นความหวังรูปธรรมที่สุดคือ ย้อนกลับไปยังข้อตกลงออสโล นั่นคือการมุ่งรักษาสภาพหยุดยิงให้ได้เสียก่อน

ตัวละครสำคัญ บริการฉนวนกาซาหลังฟื้นฟู

อีกคำถามสำคัญคือ ใครจะบริหารปาเลสไตน์หลังสงครามจบลง? ส่วนนี้ดร.ศราวุฒิกล่าวถึงตัวละคร 3 ตัวคือ: 1. องค์การบริหารปาเลสไตน์ (Palestinian Authority: PA) หากแต่ต้องผ่านการปฏิรูปองค์กร 2. การจัดตั้งองค์กรอิสระจากประชาชนปาเลสไตน์เอง หรือที่คุ้นกันในชื่อ Technocrat และ 3. บริหารชั่วคราวโดยคนนอก หรือคนต่างชาติ

แต่เมื่อพูดถึงการบริหารกาซา การจะไม่รับฟังเสียงคนกาซาและคนปาเลสไตน์เลยก็คงไม่ดี ทั้งยังดูจะเป็นแนวคิดศตวรรษที่ 16 ไปเสียหน่อย ราวกับอยู่ในยุคอาณานิคม ซึ่งเป็นความรู้สึกที่คนปาเลสไตน์กล้ำกลืนฝืนทนมาตลอด 

“สำหรับคนปาเลสไตน์ คนตะวันออกกลาง เขามองว่า ดินแดนของเขาถูกยึดครอง ถูกล่าเป็นอาณานิคมมายาวนาน เพราะฉะนั้น [การบริหารงาน] เขาไม่ต้องการให้มีคนนอกมาเกี่ยวข้อง” นักวิชาการอธิบาย

“นอกจากนี้ ยังมีเสียงเรียกร้องว่า อนาคตของกาซาจะต้องผูกโยงกับอำนาจที่ได้รับการยอมรับจากสหประชาชาตินั่นก็คือ Palestinian Authority” ดร.กล่าว สะท้อนมุมมองของคนในพื้นที่ที่เกิดและโตมากับความขัดแย้ง ซึ่งต่างจากคนนอกและชาติตะวันตก โดยคนใน-คนนอกมองผู้ท้าชิงแต่ละกลุ่มที่มีความเป็นไปได้ตามข้อเสนอ 20 ข้อทรัทป์ว่า จะเข้ามาบริหารงานอย่างไร

PA ที่ปฏิรูปแล้ว

องค์การบริหารปาเลสไตน์ หรือ PA เป็นหนึ่งในตัวละครที่มีความเป็นไปได้สูงในการรับไม้ต่อบริหารจัดการกาซาต่อจากนี้ เหตุผลหลักคือได้รับการยอมรับจากนานาชาติ อย่างสหประชาชาติ

อีกเหตุผลคือ PA เองก็บริหารและปกครองพื้นที่เขตเวสต์แบงก์อยู่แล้ว ซึ่งที่ผ่านมาการที่กาซาและเวสต์แบงก์ปกครองโดยองค์กรคนละกลุ่มก็ทำให้เกิดความไม่เป็นเอกภาพของปาเลสไตน์ ซึ่งถือเป็นอุปสรรคอีกข้อในการตั้งรัฐ ดังนั้นนักวิชาการหลายคนจึงเชื่อว่า การบริหารโดยองค์กรเดียวจะทำให้ปาเลสไตน์ก้าวเข้าใกล้ความเป็นรัฐมากขึ้นอีกขั้น

อย่างไรก็ตาม คนในพื้นที่กลับไม่ยอมรับคณะทำงานชุดปัจจุบันของ PA มากนัก โดยเฉพาะคนกาซา ซึ่งเป็นฐานเสียงกลุ่มฮามาสซึ่งไม่ลงรอยกับ PA มายาวนาน สาเหตุการไม่ยอมรับ PA นั่นก็เพราะ การทุจริตภายในองค์กร อันฉาวโฉ่

ตัวอย่างรูปธรรมข้อหนึ่งคือ การที่กลุ่มฮามาสชนะกลุ่มฟาตาห์ ในการเลือกตั้งสภานิติบัญญัติปาเลสไตน์ปี 2006 การเลือกตั้งที่ขึ้นชื่อว่า “ใสสะอาด” ที่สุดที่เคยมีในภูมิภาคตะวันออกกลาง ซึ่งดร.ศราวุฒิชี้ว่า ไม่ใช่เพราะความรักในกลุ่มฮามาส แต่เพราะความชัง PA ต่างหาก (PA อยู่ใต้การควบคุมของรัฐบาลฟาตาห์)

“PA ได้รับเงินช่วยเหลือจากทั่วโลก รวมถึงสหรัฐอเมริกา หลายชาติในยุโรป และรัฐอาหรับ เงินเหล่านี้บริหารจัดการโดยองค์การบริหารปาเลสไตน์ แต่เงินไม่ถึงประชาชนปาเลสไตน์เลย ทำให้องค์การบริหารปาเลสไตน์ มีความชอบธรรมบกพร่องในสายตาประชาชนปาเลสไตน์” ดร.ศราวุฒิกล่าว

นอกจากนี้นักวิชาการยังเสริมว่า PA บกพร่องในการปกป้องคนปาเลสไตน์ แต่กลับทำงานเป็น “เครื่องมือ” ด้านความมั่นคงให้อิสราเอล ดูแลผลประโยชน์ของอิสราเอลในดินแดนเวสต์แบงก์

เหตุผลเหล่านี้ทำให้มีการพูดถึงการปฏิรูปกลุ่ม PA ให้คนปาเลสไตน์ยอมรับเสียก่อน ซึ่งหากทำได้ นอกจากจะได้รับการยอมรับทั้งจากประชาคมโลก คนท้องถิ่น ยังจะทำให้เกิดเอกภาพอันจะนำไปสู่การตั้งรัฐในอนาคต

Technocrat ปาเลสไตน์

ความเป็นไปได้ข้อที่ 2 คือ การจัดตั้งองค์กรใหม่เสียเลย ก่อตั้งจากประชาชนคนปาเลสไตน์เอง เป็นคณะปกครองเทคโนแครต หรือการรวมกลุ่มผู้เชี่ยวชาญหลากหลายด้านเข้ามาปกครองฉนวนกาซา

วิธีการนี้ ดร.ศราวุฒิกล่าวว่า ได้รับความเห็นชอบจากคนในพื้นที่ แต่ปัญหาคือ ยังไม่มีการพูดคุยรายละเอียดว่า จะจัดตั้งขึ้นอย่างไร

คนนอกดูแล “ชั่วคราว”

ส่วนที่สามคือการบริหารจัดการในช่วงเปลี่ยนผ่าน ซึ่งตามข้อเสนอของสหประชาชาติที่อิสราเอลยอมรับ เสนอให้ใช้องค์การ “ภายนอก” อย่าง “ชั่วคราว” ไปก่อน โดยก่อตั้งจากคนภายนอกร่วมมือกับคนในพื้นที่

แต่แม้ต่างชาติเห็นชอบ แต่ปาเลสไตน์และฮามาสไม่ยอมรับ คนในภูมิภาคเปรียบเทียบว่า การนำคนนอกเข้ามาบริหารจัดการฉนวนกาซาไม่ได้แตกต่างกับ “การล่าอาณานิคมในอดีต” เอาเสียเลย และเป็นความรู้สึกที่พวกเขาอยากหลุดพ้นมาตลอด 

อำนาจต่างชาติในพื้นที่ตะวันออกกลางเป็นสิ่งที่น่าสนใจไม่น้อย ก่อนที่ทรัมป์จะทำข้อเสนอ 20 ข้อขึ้นมา ทรัมป์ผ่านการปรึกษาหารือกับรัฐอาหรับหลายประเทศ แล้วจึงพบปะพูดคุยกับเนทันยาฮูภายหลัง ทำให้เห็นว่า กลุ่มประเทศอาหรับนั้นเป็นตัวละครที่ทรัมป์เกรงใจอยู่ไม่น้อย ในทางกลับกัน ความสนใจที่มอบให้อิสราเอลคนโปรดกลับดูน้อยลงตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา 

โมเมนตัมภูมิรัฐศาสตร์เปลี่ยน

สหรัฐฯ ถอยจากอิสราเอล มุ่งสนใจเอเชียแปซิฟิก

ดร.ศราวุฒิกล่าวว่า ตั้งแต่สมัยอดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามาเป็นต้นมา สหรัฐฯ เปลี่ยนความสนใจหลักไปที่เอเชียแปซิฟิกแทนพื้นที่ตะวันออกกลาง เห็นได้จากแผนยุทธศาสตร์ปี 2012 ของโอบามา Pivot to Asia ที่สะท้อนความสนใจด้านการเมือง เศรษฐกิจ และการทหารมาที่เอเชียมากขึ้น สาเหตุหนึ่งคือเพื่อแข่งขันกับมหาอำนาจในพื้นที่ผู้เติบโตอย่างรวดเร็วในศตวรรษที่ 21 อย่างจีน

เมื่อสหรัฐฯ ต้องแบ่งความสนใจและงบประมาณมาสอดส่องเอเชียแปซิฟิก กลไกที่สหรัฐฯ ดำเนินในตะวันออกกลางคือ ใช้อิสราเอลและประเทศอาหรับที่เป็นพันธมิตรของตนดูแลภูมิภาคแทนสหรัฐฯ แนวทางดังกล่าวดำเนินต่อเนื่องมาจนถึงการบริหารงานของประธานาธิบดีโดนัลด์ทรัมป์สมัยที่ 2

“เมื่อทรัมป์ลดบทบาทของตนในภูมิภาคตะวันออกกลางลง ก็จะมีอาหรับกับอิสราเอลซึ่งเป็นพันธมิตรของตัวเองแบกภาระรับผิดชอบผลประโยชน์ของสหรัฐฯ ในภูมิภาคตะวันออกกลาง” ดร.กล่าว

GCC อำนาจใหม่ที่สหรัฐฯ ต้องฟังเสียง

นอกจากนี้ ดร.ศราวุฒิยังกล่าวถึงโมเมนตัมในภูในภาคตะวันออกกลางที่เปลี่ยนไป จากที่อิสราเอลคือเสียงที่ดังที่สุดสำหรับสหรัฐฯ ปัจจุบันประเทศในอาหรับหลายกลุ่มเติบโตทางเศรษฐกิจขึ้นมา เช่น  กลุ่มประเทศ GCC (Gulf Cooperation Council) ซึ่งกลายเป็นกลุ่มอำนาจทางเศรษฐกิจใหม่ของตะวันออกกลาง

ประเทศเหล่านี้ดึงดูดนักลงทุนและเงินทุนจากทั่วโลก รวมถึงทรัมป์และคนใกล้ชิดของเขาเอง อย่างนักลงทุนลู จาเร็ด คุชเนอร์ นักลงทุนและอดีตที่ปรึกษาของทรัมป์ ดังนั้นแล้วเสียงของประเทศอาหรับจึงเริ่มดังขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เป็นเสียงจากตะวันออกกลางดังคลอกับอิสราเอล และสหรัฐฯ จะเมินเฉยไม่ได้

“ที่ผ่านมาเราอาจจะเห็นสหรัฐฯ ให้ความสำคัญกับอิสราเลอมาก แต่ปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้การนำของทรัมป์ที่มีผลประโยชน์อยู่มากในกลุ่มประเทศอ่าวเปอร์เซียเขาต้องสร้างสมดุลและให้ความสำคัญกับรัฐอาหรับเทียบเท่ากับอิสราเอล นี่คือความเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์การเมืองในตะวันออกกลาง” ดร.ศราวุฒิอธิบาย 

สัมพันธ์หลังม่าน อิสราเอล-อาหรับ

หากจะฝากฝังตะวันออกกลางให้อิสราเอลและกลุ่มประเทศอาหรับดูแล? แนวคิดนี้คงทำให้หลายคนเกิดคำถามว่า ประเทศที่ไม่ลงรอยกันจะช่วยบริหารผลประโยชน์ของสหรัฐฯ ได้อย่างไร แต่ดร.ศราวุฒิเปิดเผยกับเราว่า ความจริงอิสราเอลและอาหรับปรับปรุงความสัมพันธ์กันมาสักพักแล้ว แต่เกิดขึ้นในระดับรัฐ และยังไม่เป็นที่ยอมรับในระดับประชาชน

ดร.ศราวุฒิกล่าวว่า แม้ในอดีตรัฐอาหรับเหล่านี้จะเคยเป็นศัตรูกับอิสราเอล แต่ในระยะหลังเมื่อเห็นว่าอิสราเอลเป็นมหาอำนาจของภูมิภาค มีอำนาจการทหารและมีการพัฒนาทางเศรษฐกิจได้ไกล อีกทั้งเป็นพันธมิตรที่แนบแน่นกับสหรัฐอเมริกา ซึ่งก็เป็นพันธมิตรกับกลุ่มประเทศอาหรับเหล่านี้เช่นกัน จึงเกิดการปรับปรุงความสัมพันธ์ขึ้น

ตัวอย่างหนึ่งคือ การทำข้อตกลงสันติภาพระหว่างอิสราเอลและอียิปต์เมื่อปี 1979 ทำให้อียิปต์เป็นชาติอาหรับชาติแรกที่ปรับความสัมพันธ์กับอิสราเอล ตามมาด้วยจอร์แดนในปี 1994 รวมถึงข้อเสนอของซาอุดิอาราเบียในปี 2002 ซึ่งให้อิสราเอลยอมให้เกิดรัฐปาเลสไตน์ แลกกับการยอมรับจากรัฐอาหรับ

ความสำเร็จหนึ่ง ซึ่งเราอาจต้องยกเครดิตให้ทรัมป์อีกครั้งคือ ข้อตกลงสันติภาพ Abraham Accords ในปี 2020 ระหว่างอิสราเอลและหลายชาติอาหรับ ที่สร้างผลประโยชน์ทางการค้า โดยเฉพาะธุรกิจค้าอาวุธ แต่การสร้างสันติภาพในดินแดนและปลดปล่อยปาเลสไตน์นั้น ยังขาดการพูดถึง

“หลังจากนั้น มีการติดต่อและทำการทูตกันแบบลับ ๆ และความสัมพันธ์ทางการค้าแบบไม่เปิดเผยระหว่างหลายรัฐอาหรับกับประเทศอิสราเอล เพียงแต่ว่ามวลชนของประเทศอาหรับยังไม่สามารถยอมรับได้ แต่ในเชิงของสถาบันรัฐ เขายอมรับไปนานแล้ว” ดร.ศราวุฒิอธิบายต่อ

ด้านอิสราเอลก็ไม่ต่างกัน นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา อิสราเอลให้ความสำคัญกับประเทศนอกกลุ่มอาหรับมากขึ้น อย่างประเทศตุรกี และอิหร่าน ซึ่งเป็นพันธมิตรแนบแน่นกับอิสราเอลในยุคที่กลุ่มประเทศอาหรับยังตั้งการ์ดอยู่

แต่ในช่วงหลังมานี้ สัมพันธ์อิสราเอลกับประเทศรอบด้านดูจะเปลี่ยนไป โดย 2 พันธมิตรนอกอาหรับกลับกลายเป็นคนที่อิสราเอลมองเห็นเป็นภัย แต่ขณะเดียวกัน ก็ต้องการจะปรับความสัมพันธ์กับรัฐอาหรับ เพราะไม่ต้องการมีศัตรูรอบด้าน และต้องการหาเพื่อนใหม่เพื่อสร้างสมดุล นอกจากนี้ ดร.ศราวุฒิยังเผยมุมมองของอิสราเอลเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาปาเลสไตน์ด้วยว่า ต้องแก้ที่ประเทศอาหรับก่อน

“อิสราเอลชี้ว่า การแก้ไขปัญหาปาเลสไตน์ต้องแก้ที่ประเทศอาหรับ ไม่ใช่ที่ประชาชนปาเลสไตน์ ในดินแดนปาเลสไตน์” นักวิชาการกล่าว ตอกย้ำอีกสาเหตุที่อิสราเอลต้องสร้างสัมพันธ์อันดีกับประเทศอาหรับ 

อิสราเอลตีความ อาหรับปล่อยปาเลสไตน์

อย่างไรก็ตาม สัมพันธ์อาหรับ-อิสราเอลที่ฟื้นฟู ซึ่งเป็นผลมาจากการเมืองในภูมิภาคก็ดี หรือการจัดการของสหรัฐฯ ที่ฟังอาหรับมากขึ้นก็ดี อิสราเอลภายใต้การนำของผู้นำจากพรรคขวาจัด เบนจามิน เนทันยาฮู จากพรรคลิคุด (Likud) กลับตีความไปว่า “อาหรับวางมือจากปัญหาปาเลสไตน์” แล้ว

“ในปี 2020-2021 เราจะเห็นได้ว่าเหตุการณ์ความรุนแรงในปาเลสไตน์นั้นเพิ่มมากขึ้นจากกองกำลังทหารของอิสราเอล อิสราเอลเข้าไปบุกรุกเวสต์แบงก์ กวาดล้างประชาชน บุกรุกมัสยิด เรื่องนี้เป็นที่ยอมรับไม่ได้สำหรับฮามาส ท้ายที่สุดฮามาสก็มีแผนฝ่าวงล้อมอิสราเอลเข้าไปในฉนวนกาซา และเกิดเหตุการณ์วันที่ 7 ตุลาคม [2023]” ดร.ศราวุฒิอธิบาย

“การปรับความสัมพันธ์ระหว่างอาหรับกับอิสราเอล ท้ายที่สุดทำให้เกิดเหตุการณ์วันที่ 7 ตุลาฯ” ดร.สรุป

นักวิชาการขยายความต่อว่า อิสราเอลปฏิเสธการคุยกับปาเลสไตน์ เนื่องจากจุดยืนที่ต่อต้านการมีอยู่ของรัฐปาเลสไตน์ จึงยืนยันจะคุยผ่านประเทศอาหรับเท่านั้น และสิ่งที่อิสราเอลต้องการทำในปาเลสไตน์คือ “การลดประชากร” เพื่อสร้างรัฐยิว (Jewish state) 

อิสราเอลเองออกฎหมายรัฐยิวมาตั้งแต่ปี 2018 แล้ว เพียงแต่การดำรงสถานะรัฐยิวนั้นคงจะไปเป็นไปได้ยากหากประชากรปาเลสไตน์ยังมีอยู่จำนวนมากในพื้นที่ มากที่ว่านั้นก็คือ ประชากรชาวปาเลสไตน์มีอยู่ราว 10.71 ล้านคนในปี 2022 ตามข้อมูลรัฐบาลปาเลสไตน์ (ปาเลสไตน์ 5.4, เวสต์แบงก์ 3.19, ฉนวนกาซา 2.17) ในขณะที่อิสราเอลมีประชากรราว 9.7 ล้านในปีเดียวกัน ประชากรจำนวนมากขนาดนี้จึงเป็นภัยคุกคามต่อรัฐยิวของอิสราเอล จึงนำมาสู่การผลักคนปาเลสไตน์ออกจากดินแดนที่อิสราเอลยึดครองอยู่คือ เวสต์แบงก์และกาซา

ข้อนี้เองที่ประชากรอาหรับไม่ยอมรับ รวมถึงชาวปาเลสไตน์ที่ผ่านการถูกผลักไสมาหลายต่อหลายครั้ง อย่างไรก็ตาม ดร.ศราวุฒิเน้นย้ำว่า ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์เป็นเรื่องที่รอได้ แต่ชีวิตคนในปาเลสไตน์นั้นเร่งด่วนกว่า

“ความสำคัญวันนี้ไม่ใช่การปรับความสัมพันธ์ระหว่างรัฐอาหรับและอิสราเอล แต่คือการแก้ไขปัญหาปาเลสไตน์ให้ได้ก่อน สร้างรัฐปาเลสไตน์ขึ้นมา แล้วทุกสิ่งทุกอย่างจะแก้ไขด้วยตัวเอง” 

รัฐบาลใหม่อิสราเอล อีกความหวังของคนกาซา

คำถามหลาย ๆ ข้อยังหาคำตอบที่แน่ชัดได้ยาก มีเพียงความเป็นไปได้และเหตุผลสนับสนุนหรือคัดค้าน อย่างไรก็ดี การเมืองอิสราเอล ซึ่งจะเกิดการเลือกตั้งขึ้นปีหน้า หลังตัวเนทันยาฮูและพรรคลิคุดเสียคะแนนนิยมดิ่งลง จะเป็นอีกคำใบ้บอกอนาคตของการเจรจาสันติภาพ

“ในอดีตเราเห็นพรรคการเมืองสายกลางอย่าง พรรคเลเบอร์ [Israeli Labor Party] ขึ้นมาสู่อำนาจ แล้วนำไปสู่กระบวนการเจรจาสันติภาพตะวันออกกลาง อย่างข้อตกลงออสโลในปี 1993” ดร.กล่าว

เขาชี้ว่า หากพรรคการเมืองฝ่ายซ้ายสามารถครองเสียงข้างมาก และขึ้นสู่อำนาจเป็นรัฐบาลได้ ก็อาจนำไปสู่การพูดคุยเจรจา และแก้ไขปัญหา เพียงแต่อาจต้องใช้เวลา

“เราจะไม่ได้เห็น [การแก้ไขความขัดแย้ง] เร็วๆ นี้ ต้องใช้เวลานานพอสมควร แต่การหยุดยิงและรักษาเอาไว้นั้นสำคัญ ชี้ว่าความขัดแย้งจะหนักหนาลงหรือคลี่คลาย” ดร.ศราวุฒิย้ำ





แชร์
Spot on  กาซา: หยุดยิงแล้วอย่างไรต่อ? ขั้นต่อไปคือความท้าทายแท้จริง