พันเอกไมเคิล รันเดรียนิรินา ผู้บังคับบัญชาหน่วยทหารพิเศษ CAPSAT ประกาศยึดอำนาจจากประธานาธิบดีแอนดรี ราโจเอลินา แห่งมาดากัสการ์ ท่ามกลางเสียงเชียร์อย่างพึงพอใจของเยาวชน Gen Z และประชาชนเรือนหมื่นที่ออกมาเดินขบวนประท้วงต่อต้านรัฐบาลต่อเนื่องราวสัปดาห์ ในกรุงอันตานานารีโว เมืองหลวงของมาดากัสการ์
CAPSAT หรือกองบริหารบุคลากรและเทคนิคบริการ เป็นหน่วยทหารที่ทรงพลังที่สุดในประเทศมาดากัสการ์ ในปี 2009 หน่วยทหารนี้สนับสนุนราโจเอลินาขึ้นสู่ตำแหน่งประธานาธิบดี แต่เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ กองทัพได้เข้าร่วมกับกลุ่มผู้ประท้วง ร่วมขับไล่ผู้นำออกจากตำแหน่ง จนเขาต้องหลบหนีไปอยู่ในสถานที่ปลอดภัย ล่าสุด มีรายงานว่า ประธานาธิบดีถูกส่งตัวออกนอกประเทศด้วยเครื่องบินทหารฝรั่งเศส แต่ยังไม่ได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการ
อย่างไรก็ตาม ศาลรัฐธรรมนูญของมาดากัสการ์ได้แต่งตั้งพันเอกไมเคิล รันเดรียนิรินาให้เป็นผู้นำคนใหม่ของประเทศ แม้ว่าสำนักงานประธานาธิบดีจะออกแถลงการณ์ระบุว่า ราโจเอลินายังคงดำรงตำแหน่งผู้นำประเทศเช่นเดิม และประณามการกระทำดังกล่าวว่าเป็นความพยายามก่อรัฐประหาร
Spotlight ชวนย้อนรอยเส้นทางการเมืองของมาดาร์กัสการ์ และปมจุดชนวนการลุกฮือของผู้คนในประเทศ ทำให้ประเทศมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร และจะเดินหน้าอย่างไร เมื่ออำนาจอยู่ในมือทหาร
ความไม่สงบเริ่มขึ้นเมื่อสองสัปดาห์ที่ผ่านมากลุ่มเยาวชนเริ่มเคลื่อนไหวประท้วงปัญหาน้ำและไฟฟ้าดับเรื้อรังทั่วประเทศ ประชาชนหลายพันคนในประเทศมาดากัสการ์ออกมาเดินขบวนบนท้องถนนก ทั้งในเมืองหลวงและหลายเมืองทั่วประเทศ นับเป็นการประท้วงครั้งใหญ่ที่สุดของมาดากัสการ์ ในรอบ 15 ปี
ตามรายงานของสหประชาชาติ เปิดเผยว่า มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 22 ราย และบาดเจ็บอีกกว่า 100 รายจากเหตุการณ์ไม่สงบครั้งนี้ แม้ว่ารัฐบาละปฏิเสธตัวเลขดังกล่าวและระบุว่า เป็นเพียง "ข่าวลือและข้อมูลเท็จ"
ความกดดันเริ่มก่อตัวขึ้นหลังจากรัฐบาลจับกุมนักการเมืองฝ่ายค้าน 2 คนเมื่อวันที่ 19 กันยายนที่ผ่านมา ซึ่งพวกเขาเป็นแกนนำจัดการชุมนุมอย่างสันติ เนื่องจากปัญหาน้ำประปาไม่ไหลและระบบไฟฟ้าขัดข้องเรื้อรัง ซึ่ง Jirama บริษัทสาธารณูปโภคของรัฐหยุดให้บริการนานหลายชั่วโมงทุกวัน
หลายๆ คนมองว่าการกักขังพวกเขาเป็นความพยายามที่จะปิดปากผู้เห็นต่างที่ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งนำไปสู่ความไม่พอใจของสาธารณชน โดยมีกลุ่มประชาสังคมเข้ามารับช่วงต่อ และมีการก่อตั้งขบวนการออนไลน์ที่นำโดยเยาวชนที่รู้จักกันในชื่อ Gen Z Mada การชุมนุมประท้วงทวีความรุนแรงขึ้นในไม่ช้า เพื่อสะท้อนถึงความไม่พอใจที่เพิ่มมากขึ้นต่อรัฐบาลของราโจเอลินา เกี่ยวกับอัตราการว่างงานที่สูง การทุจริตที่แพร่หลาย และวิกฤตค่าครองชีพ
ตามข้อมูลของธนาคารโลกระบุว่า มาดากัสการ์เป็นหนึ่งในประเทศที่ยากจนที่สุดในโลก โดยมีประชากร 75 เปอร์เซ็นต์จากจำนวนทั้งหมด 30 ล้านคนอาศัยอยู่ใต้เส้นความยากจน
ประธานาธิบดีราโจเอลินา ซึ่งเป็นนักธุรกิจและอดีตดีเจ เคยถูกมองว่า เป็นจุดเริ่มต้นใหม่ของมาดากัสการ์ ผู้นำหน้าเด็กคนนี้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเมื่ออายุเพียง 34 ปี ทำให้เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้นำที่อายุน้อยที่สุดในแอฟริกา และดำรงตำแหน่งรัฐบาลเป็นเวลา 4 ปี ก่อนจะกลับมามีอำนาจอีกครั้งหลังการเลือกตั้งในปี 2018
แต่การดำรงตำแหน่งในสมัยที่สอง เป็นช่วงเวลาที่คะแนนนิยมของเขาดิ่งลงเหว จากคดีคอร์รัปชั่น เอื้อผลประโยชน์ให้แก่พวกพ้อง เขาพยายามจะยุบสภาก่อนที่ฝ่ายค้านจะลงมติปลดเขาออกจากตำแหน่ง ด้านสมาชิกรัฐสภาลงมติถอดถอนราโจเอลินาด้วยคะแนนเสียง 130 เสียง แม้แต่สมาชิกพรรคอีร์มาร์ของราโจเอลินาก็ลงมติอย่างท่วมท้นให้ถอดถอนเขา แต่เขากลับปฏิเสธการลงคะแนนโดยอ้างว่า “เป็นโมฆะ”
ก่อนหน้านี้ เขายังเข้าไปพัวพันกับคดีทุจริตและใช้อำนาจในทางมิชอบ หนึ่งในคดีอื้อฉาวคือโครงการ "ช้างเผือก" (White Elephant Projects) โดยพยายามผลักดันโครงการขนาดใหญ่ เช่น การก่อสร้าง สนามกีฬาฟุตบอล หลายแห่ง ซึ่งมีราคาสูงถึง 77 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ความพยายามในการสร้าง เมืองใหม่ เพื่อเป็นคู่แข่งของเมืองหลวง ซึ่งซึ่งถูกฝ่ายค้านวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่าเป็นการลงทุนในโครงการที่ไร้ประโยชน์และมีราคาสูงเกินจริง
ในช่วงแรก Gen Z Mada เป็นผู้ประสานงานกิจกรรมต่างๆ ผ่านโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook และ TikTok โฆษกของกลุ่ม Gen Z Mada บอกกับสำนักข่าว AFP ว่า พวกเขาต้องการให้ประธานาธิบดีลาออกและ “ทำความสะอาดรัฐสภาเสียใหม่” พวกเขายังต้องการให้ราโจเอลินารับผิดชอบต่อผู้ที่ถูกกองกำลังความมั่นคงสังหารด้วย ผู้ใช้โซเชียลมีเดียบางรายยังเรียกร้องให้ยุบคณะกรรมการการเลือกตั้งและศาลฎีกาของประเทศด้วย
ต่อมา ได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการขึ้นเพื่อจัดการประท้วงเพิ่มเติมหลังจากการประชุมระหว่าง Gen Z Mada กลุ่มภาคประชาสังคม และนักการเมืองท้องถิ่น โดยกลุ่มอื่น ๆ เข้ามามีส่วนร่วมทันทีที่การประท้วงเริ่มต้นขึ้น สหภาพแรงงานหลายแห่ง หนึ่งในนั้นคือสหภาพแรงงาน Malagasy Trade Union Solidarity ซึ่งเป็นสหภาพแรงงานที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ ได้แสดงจุดยืนสนับสนุนการเคลื่อนไหวที่นำโดยเยาวชน
ขณะที่องค์กรภาคประชาสังคมเรียกร้องให้มีการเจรจาที่นำโดยคริสตจักรเพื่อ "ป้องกันไม่ให้มาดากัสการ์จมลงสู่ความโกลาหลหรือสงครามกลางเมือง" ด้านซิเตนี รันเดรียนาโซโลเนียโก ผู้นำฝ่ายค้าน และอดีตประธานาธิบดีมาร์ก ราวาโลมานา แสดงความสนับสนุนการประท้วงในแถลงการณ์ร่วมเมื่อวันพุธที่ 14 ตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งทั้งสองคนปฏิเสธข้อเสนอที่จะเข้าร่วมรัฐบาลของราโจเอลินา โดยบอกว่าการเคลื่อนไหวครั้งนี้จะเป็นการทรยศต่อบ้านเมือง
ศาลรัฐธรรมนูญสูงสุดของมาดากัสการ์ได้ประกาศให้ตำแหน่งประธานาธิบดีว่างลง เนื่องจากการ "ละทิ้งอำนาจโดยปริยาย" ของราโจเอลินา และได้เชิญพันเอกไมเคิล รันเดรียนิรินา ให้ขึ้นรับตำแหน่ง ประธานาธิบดีชั่วคราว เพื่อจัดให้มีการเลือกตั้งภายใน 30-60 วัน ซึ่งเป็นไปตามมาตรา 53 ของรัฐธรรมนูญ
ล่าสุด ผู้นำสายทหารคนใหม่แห่งมาดากัสการ์ ให้คำมั่นกับประชาชนหน้าทำเนียบประธานาธิบดีว่า กองทัพจะจัดตั้งรัฐบาลและจัดการเลือกตั้งภายในสองปี เขายังกล่าวถึงกลุ่มผู้ประท้วงกลุ่ม Gen Z ที่จะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงด้วย เพราะการเคลื่อนไหวเกิดขึ้นบนท้องถนน ดังนั้น รัฐบาลทหารจึงต้องเคารพข้อเรียกร้องของกลุ่มเยาวชนและประชาชน
นอกจากนี้ เขาประกาศจัดตั้ง สภาทหารและตำรวจภูธร (gendarmerie) เพื่อปกครองประเทศชั่วคราว และจะแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีเพื่อจัดตั้งรัฐบาลพลเรือนต่อไป นอกจากนี้ ยังได้ยุบเลิกสถาบันหลัก ๆ ของรัฐบาลหลายแห่ง เช่น วุฒิสภา ศาลรัฐธรรมนูญสูงสุด และคณะกรรมการการเลือกตั้ง โดยคงไว้เพียงสภาผู้แทนราษฎร
แม้จะเป็นการรัฐประหาร แต่ผู้ประท้วงต่างเฉลิมฉลองการที่ประธานาธิบดีราโจเอลินาถูกขับไล่ออกจากตำแหน่ง โดยมีประชาชนหลายพันคนโบกธงในเมืองหลวงอันตานานาริโว