แคนาดา สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย โปรตุเกส และล่าสุดคือฝรั่งเศส ประกาศรับรองรัฐปาเลสไตน์ เป็นการเคลื่อนไหวครั้งยิ่งใหญ่ของโลกตะวันตกที่ทำให้อิสราเอลโดดเดี่ยวกว่าที่เคยเป็นมา
เมื่อประเทศมากกว่า 8 ใน 10 ของโลกรับรองรัฐปาเลสไตน์แล้ว และยังมีปลุ่มประเทศยุโรปอีก 5 ประเทศ อันดอร์รา ลักเซมเบิร์ก โมนาโก มอลตา และเบลเยียม ประกาศจะรับรองเร็วๆ นี้ ความกดดันกำลังทวีน้ำหนักอยู่บนบ่าของอิสราเอล และพันธมิตรอันดับหนึ่ง อย่าง สหรัฐอเมริกา
Spotlight ได้พูดคุยกับ ผศ.ดร.มาโนชญ์ อารีย์ จากภาควิชารัฐศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เกี่ยวกับความหมายภายใต้การรับรองรัฐระลอกใหญ่ของชาติตะวันตก และผลกระทบต่อความสัมพันธ์อิสราเอล-สหรัฐฯ รวมถึงการเมืองภายในประเทศอิสราเอล
เหล่า “ประเทศใหญ่โลกตะวันตก” ที่ประกาศรับรองรัฐปาเลสไตย์ย้ำ “แนวทางสองรัฐฯ “ให้ปาเลสไตน์และอิสราเอลอยู่ร่วมกันได้ ซึ่งขัดต่อเจตนารมย์ของเนทันยาฮูที่ก่อสงครามกับปาเลสไตน์ ภายใต้ข้ออ้างว่าสู้กับฮามาสมายาวนานกว่า 2 ปี จนนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ประกาศกร้าวว่า
“ไม่มีทางจะเกิดขึ้น รัฐปาเลสไตน์ไม่มีทางจะได้ก่อตั้งทางตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดน”
การเคลื่อนไหวครั้งนี้ของประเทศตะวันตก อาจารย์มาโนชญ์กล่าวว่า เป็นการทิ้งให้อิสราเอลโดดเดี่ยวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“การรับรองรัฐรอบล่าสุด และที่กำลังจะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นอังกฤษ ออสเตรเลีย และแคนาดา มีนัยยะสำคัญมากกว่าระลอกก่อน ๆ เพราะกลุ่มนี้เป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดกับสหรัฐอเมริกาและอิสราเอล จึงเป็นการโดดเดี่ยวอิสราเอลครั้งสำคัญมากที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ ซึ่งจะส่งผลต่อการตัดสินใจของประชาคมโลก และการกำหนดอนาคตและกดดันอิสราเอล” อาจารย์มาโนชญ์กล่าว
อาจารย์ชี้ต่อว่า แม้หลายประเทศจะให้การรับรองรัฐปาเลสไตน์มานานแล้ว แต่ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในฉนวนกาซาตลอด 2 ปีมานี้ เป็นฉนวนเหตุให้อีกหลายประเทศมากขึ้น ทะยอยกันออกมารับรองรัฐปาเลสไตน์เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะประเทศตะวันตก ซึ่งอาจารย์มาโนชญ์ชี้ว่า
“การที่อังกฤษ แคนาดา ออสเตรเลียมารับรองรัฐปาเลสไตน์ อย่างที่หนึ่งคือ เขาเห็นแล้วว่า อิสราเอลเป็นประเทศที่ไม่สามารถควบคุมได้ อย่างที่สองคือ ความวิกฤตและสูญเสียในฉนวนกาซานั้นยากที่จะรับได้ เป็นภาพที่โหดร้ายมาก เรื่องของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ และยังเกิดขึ้นอยู่”
เหตุผลอย่างที่สองนี่เอง ทำภาคประชาชนในประเทศต่าง ๆ ออกมาเคลื่อนไหวกดดันให้รัฐบาลของตนต้องแสดงจุดยืนในฐานะ ประเทศที่ให้ความสำคัญกับเสรีภาพและสิทธิมนุษยชน สื่อต่างประเทศจึงรายงานว่า การออกมารับรองรัฐปาดลสไตน์ของบางประเทศเป็นการรักษาหน้าของรัฐบาล
อย่างไรก็ตาม ผลการรับรองรัฐของหลายประเทศอาจนำไปสู่มาตราการที่จริงจังขึ้นในการยุติความขัดแย้งในตะวันออกกลางครั้งนี้ ผ่านการกดดันอิสราเอลผ่านเศรษฐกิจ การค้า และด้านอื่น ๆ
อาจารย์มาโนชญ์อธิบายว่า ผลการรับรองรัฐปาเลสไตน์ประการแรกคือ การมีผู้แทนปาเลสไตน์อย่างเป็นทางการในประเทศนั้นๆ และมีการสถาปานาความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการเกิดขึ้น ตัวอย่างประเทศไทย มีการสถาปนาความสัมพันธ์กับปาเลสไตน์ตั้งแต่ปี 2555 และมีเอกอัครราชทูตัฐปาเลสไตน์ประจำประเทศไทย ถิ่นพำนัก ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์
การมีตัวแทนที่ชอบธรรมจะทำให้การประสานงาน และขับเคลื่อนประเด็นเกี่ยวกับการตั้งรัฐ และสิทธิต่าง ๆ เกิดได้มากขึ้น และมีมาตราการการกดดันอิสราเอล ไม่ว่าจะด้านเศรษฐกิจ หรือการทหาร ตามมา อย่างไรก็ตามอาจารย์มาโนชญ์ชี้ให้เห็นอุปสรรคใหญ่ที่ขัดขวางการหยุดยิงในกาซา นั่นคือ สหรัฐฯ
เมื่อนานาประเทศยอมรับความเป็น “รัฐ” ของปาเลสไตน์มากขึ้น และการเป็นรัฐนี่เองที่จะตอบโจทย์ “แนวทางสองรัฐ” แนวทางที่ผู้นำหลายชาติและอาจารย์มาโนชญ์เองชี้ว่า เป็นทางออกความขัดแย้งที่ยั่งยืน แต่ความเป็นรัฐของปาเลสไตน์เข้าใกล้ความจริงหรือยัง
หากพูดกันตามหลักการ การเป็นรัฐมีข้อกำหนด 4 ข้อ นั่นคือ ดินแดนที่ชัดเจน, ประชากรตั้งถิ่นฐานถาวร, มีอำนาจอธิปไตย, และได้รับการยอมรับจากประชาคมโลก แต่การเป็นรัฐของปาเลสไตน์ยังมีอุปสรรคอื่นอยู่
“ที่ผ่านมาปัญหาและอุปสรรคคือ อิสราเอลไม่ต้องการให้มีรัฐปาเลสไตน์เกิดขึ้น และสหรัฐฯ วางตัวเหมือนจะเป็นคนกลางแต่ไม่ใช่ [...] การตั้งรัฐปาเลสไตน์แม้จะเข้าใกล้ความจริงมากขึ้น แต่ยังยากอยู่ เพราะยังตั้งผ่าน 4 ด่านสำคัญ”
4 ด่านที่อาจารย์มาโนชญ์กล่าวถึง มีส่วนที่ไม่น่าจะมีปัญหาคือ 1. การแสดงเจตจำนงอยากเข้าร่วมสหประชาชาติของปาเลสไตน์ และยอมรับกฎบัตรสหประชาชาติ และ 2. ได้รับความเห็นชอบจากสมาชิกสภาความมั่นคงสหประชาชาติ (UNSC) 9 จาก 15 จึงจำนวนชาติที่รับรองความเป็นรัฐของปาเลสไตน์นั้นเกินไปแล้ว
แต่ยังมี 2 ด่านอุปสรรคอยู่คือ 3. การจะเข้าร่วมสหประชาชาติเต็มตัว ต้องไม่ได้รับการ “วีโต” จากสมาชิกถาวร UNSC ทั้ง 5 จีน ฝรั่งเศส รัสเซีย สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา ซึ่งประเทศท้ายนั้นมีแนวโน้มมากว่าจะใช้สิทธิวีโต
และแม้ว่าสหรัฐฯ จะงดออกเสียงและปล่อยให้มีมติออกมา ก็ยังมีอุปสรรคข้อสุดท้ายและ 4. อิสราเอลใช้กำลังผนวกพื้นที่เวสต์แบงก์และกาซา เป็นอุปสรรคต่อการมีดินแดนของปาเลสไตน์
“แม้เป็นกระบวนการที่ยาก สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ ผมคิดว่าเป็นปรากฎการณ์ที่โลกกำลังล้อมกดดันอิสราเอลอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน”
ความกดดันที่นานาชาติวางไว้ตรงหน้าอิสราเอลและสหรัฐฯ แม้จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นอีกเมื่อมีการประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ ที่มีการประชุมเรื่องสถานการณ์ในกาซา แต่ก็มีคำถามเกิดขึ้นมาว่า การกดดันทางการทูตมีผลแค่ไหนบนภาคพื้นดิน หรือต้องมีการใช้กลไกอื่นหรือไม่
แม้สงครามจะดำเนินมานานกว่า 2 ปี แต่ความรุนแรงมีแต่จะหนักหนายิ่งขึ้น ชาวปาเลสไตน์สังเวยชีวิตไปมากกว่า 65,000 คน และฉนวนกาซากลายเป็นพื้นที่วิกฤตสิทธิมนุษยชนและภาวะทุพภิกขภัย แต่แม้มีบทสนทนาเรื่องการหยุดยิงหลายครั้ง กระทั่งข่าวคราวการสร้างกาซาใหม่เมื่อต้นปี แผนการก็ล้มลงและวนกลับมาสู่วงจรการโจมตีและอดอยากซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“วันนี้เราเห็นว่ากลไกการหยุดยิงของสหประชาชาติในกาซาไม่สามารถหาทางออกได้ เพราะสหรัฐอเมริกาใช้สิทธิวีโต ฉะนั้นถ้าประชาคมโลกและชาติยุโรปมีความตั้งใจจริงในการแก้ปัญหาตรงนี้ ระยะต่อไปที่ต้องทำคือการประชุมสมัชชาสหประชาชาติฉุกเฉิน”
การประชุมสมัชชาสหประชาชาติฉุกเฉิน (Emergency Special Session - ESS) คือการประชุมพิเศษของสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ (UNGA) ที่จะจัดขึ้นเมื่อมีความจำเป็นเร่งด่วน อาทิ หาทางออกความขัดแย้งรุนแรง หรือสถานการณ์ที่กระทบความมั่นคงโลก
การประชุมวาระเร่งด่วนของ UNGA ในประเด็นความขัดแย้งอิสราเอล-ปาเลสไตน์เกิดขึ้นแล้วเมื่อเดือนธันวาคม ปี 2566 โดยประเทศส่วนใหญ่ หรือ 153 ประเทศลงเสียงให้มีการหยุดยิงและปล่อยตัวประกันทันที มีผู้ไม่เห็นด้วย 10 ประเทศ และไม่ออกเสียง 25 ประเทศ อย่างไรก็ตาม เวลาได้ล่วงเลยมาเกือบ 2 ปี และสถานการณ์ความโหดร้ายในกาซามีแต่ทวีความรุนแรงมากขึ้น
อาจารย์กล่าวว่า อาจให้มีการจัดประชุมเพื่อเรียกร้องการหยุดยิงในฉนวนกาซาอีกครั้ง หรือจัดตั้งกองกำลังแทรกแซงอิสราเอลหากกลไก UNSC ไม่ได้ผล
“ตามมาด้วยการเรียกร้องให้ประเทศสมาชิกรวมกลุ่มกันคว่ำบาตรหรือกดดันทางเศรษฐกิจ เพื่อกดดันให้อิสราเอลหยุดยิง หรืออาจถึงขั้นตั้งกองกำลังรักษาสันติภาพแทรกแซงเข้าไปในอิสราเอล นี่คือกลไกของสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ ในกรณีที่ UNSC ไม่สามารถหาทางออกได้ เรียกว่ากลไก Uniting For Peace”
Uniting for peace คือปฏิบัติพิเศษของ UNGA ใช้ในกรณีที่ UNSC ขาดความเป็นเอกฉันท์ของสมาชิกถาวร จึงไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่หลักในการรักษาสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศได้ในกรณีใด ๆ UNGA อาจให้คำแนะนำได้ รวมถึงการใช้กองกำลังเข้าแทรกแซงเพื่อรักษาสันติภาพ
อาจารย์อธิบายว่า กองกำลังรักษาสันติภาพเคยใช้งานมาแล้วในกรณีเกาหลีเหนือเมื่อปี 1950 ที่มีการส่งกองกำลังนานาชาติเข้าไปรบกับกองทัพเกาหลีเหนือ ซึ่งกองทัพไทยเองได้มีส่วนร่วมด้วย และเมื่อครั้งสหภาพโซเวียตบุกอัฟกานิสถาน หรือมาตราการทางเศรษฐกิจที่ใช้กดดันรัสเซียกรณีบุกยูเครน ก็มาจากมาตราการ Uniting For Peace เช่นกัน
“[Uniting For Peace] ไม่มีผลผูกพันธ์ทางกฎหมาย แต่มีผลทางการเมือง นำไปสู่ความชอบธรรมให้หลายประเทศกดดันอิสราเอล ทางเศรษฐกิจ ทางการเมือง ทางการทูต หรือแม้แต่ทางการทหาร” อาจารย์มาโนชญ์กล่าว และชี้ว่า ประเทศต่าง ๆ สามารถรวมกลุ่มกันโดยสมัครใจในกรส่งกองกำลังแทรกแซง
อย่างไรก็ตาม อาจารย์ออกความเห็นว่า ด้านอิสราเอลยังไม่มีความกังวลใจเรื่องนี้นัก เพราะคงยังไม่มีประเทศใดพร้อมต่อกรกับอิสราเอลทางตรง เว้นเสียแต่ประเทศเยเมน ภายใต้กลุ่มฮูตี และสหรัฐฯ จะยังคงสนับสนุนอิสราเอลต่อไป จนกระทั่งวันที่ 9 กันยายนที่ผ่านมา เมื่ออิสราเอลยิงโจมตีเข้าไปในกาตาร์
อิสราเอลเป็นเพื่อนรักในตะวันออกกลางของสหรัฐฯ เป็นประเทศที่สหรัฐฯ ไว้ใจและเชื่อว่าอย่างไรก็ต้องพึ่งพาสหรัฐฯ อีกด้านอิสราเอลก็เป็นตัวแทนอำนาจของสหรัฐฯ ในตะวันออกกลาง ตัวแทนอำนาจที่สหรัฐฯ ต้องมีสัมพันธ์กับอิสราเอล จึงเป็นสิ่งที่สหรัฐฯ ไม่สามารถตัดได้ แต่การผ่อนการสนับสนุนลงเป็นอีกเรื่อง
นอกจากนี้ การเมืองในสหรัฐฯ เอง กลุ่มล็อบบี้ยิสต์และนักธุรกิจชาวยิวในสหรัฐฯ ก็มีอิทธิพลมาก จนกล่าวว่ามีอำนาจควบคุมสภาคองเกรสได้ หรือสหรัฐฯ ขาดอิสรภาพในการตัดสินใจทีเดียว การสนัสนุนนี้สะท้อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ
“ไม่ว่าพรรครีพับลิกันหรือเดโมแครต ที่การเลือกตั้งประธานาธิบดีทุกครั้ง ผู้ลงสมัครประธานาธิบดีต่างแข่งขันกันในการชูนโยบายสนับสนุนอิสราเอลเป็นเรื่องใหญ่ และจะไปปราศัยในที่ประชุมของ AIPAC ซึ่งเป็นกลุ่มล็อบบี้ยิสต์ของอิสราเอลในสหรัฐฯ ” อาจารย์มาโนชญ์กล่าว
อย่างไรก็ตาม การสนับสนุนอาจไม่ได้เข้มแข็งอย่างเคยเมื่อสหรัฐฯ ก็มีการปะทะภายในระหว่างผู้มีแนวคิดอนุรักษนิยม และเสรีนิยม การเพิ่มขึ้นของฝ่ายขวาในสหรัฐฯ ที่มีแนวคิด “America First” หรืออเมริกาต้องมาก่อน ทำให้ฝ่ายขวาหลายคนไม่พอใจการทุ่มทุนสนับสนุนสงครามโพ้นทะเล ทั้งยังเป็นการเอาชื่อเสียงประเทศไปเสีย กับการสนับสนุนชาติที่ประชาคมโลกกำลังทอดทิ้ง
เมื่อวันที่ 9 กันยายน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวถึงอำนาจของล็อบบี้ยิสต์อิสราเอลที่กำลังหดหายไป
“อิสราเอลเป็นล็อบบี้ยิสต์ที่แกร่งที่สุดที่ผมเคยเห็นมา พวกเขาเคยมีอำนาจควบคุมเบ็ดเสร็จเหนือสภาคองเกรส แต่ตอนนี้ไม่แล้ว รู้ไหม ผมตกใจนิดนึงนะ” ทรัมป์กล่าว และเสริมว่าสิ่งที่อิสราเอลทำในฉนวนกาซาเป็นต้นตอของอำนาจที่หายไป
อาจารย์มาโนชญ์ชี้ให้เห็นว่า หนึ่งในแนวคิดหลักที่ฝ่ายขวาจัดอเมริกันมีร่วมกันคือ การให้ความสำคัญกับชาวอเมริกันผิวขาวก่อน และวางคนชาติพันธ์ุอื่นไว้ท้าย นั่นรวมถึงชาวยิว อิทธิผลของนักธุรกิจชาวยิวที่แข็งแกร่งในสหรัฐฯ จึงไม่ใช่เรื่องที่พวกเขาพึงใจนัก
อาจารย์มาโนชญ์ยกตัวอย่างชาร์ลี เคิร์ก นักกิจกรรมการเมืองฝ่ายขวาที่เพิ่งเสียชีวิตไป กล่าวว่าเขาคือตัวแทน “ขวาแท้” ของสหรัฐฯ ที่ออกมาพูดสนับสนุนอิสราเอลเฉพาะประเด็นที่มีผลประโยชน์ของสหรัฐฯ เช่น ประเด็นความขัดแย้งกับปาเลสไตน์ แต่ในขณะเดียวกันก็วิจารณ์เมื่อประเทศตนจะเสียประโยชน์ เช่น เขาวิจารณ์ว่าอิสราเอลจะครอบงำมหาวิทยาลัยสหรัฐฯ
อีกสาเหตุที่สหรัฐฯ อาจต้องทบทวนการสนับสนุนอิสราเอลใหม่คือ อิสราเอลอยู่นอกเหนือการควบคุมของสหรัฐฯ ไปแล้ว
“เราเห็นว่าอิสราเอลได้โจมตีกาซาอย่างหนักโดยที่ไม่ได้สนสิทธิมนุษยธรรม หรือหลักการสากลใด เพราะมีสหรัฐฯ สนับสนุน และทำให้สหรัฐฯ เสียหายไปด้วย เราจึงเห็นอิสราเอลโจมตีเข้าไปในกาตาร์ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของกลุ่มอ่าวอาหรับ หรือ GCC”
การโจมตีกลุ่มประเทศอ่าวอาหรับของอิสราเอลจะทำให้สหรัฐฯ เสียผลประโยชน์และอิทธิพลต่อกลุ่มประเทศนี้ ผลก็คือ สหรัฐฯ จากที่เป็นเบอร์ 1 เรื่องการวีโตใด ๆ เพื่ออิสราเอล งดออกเสียงในการประชุม UNSC ครั้งการโจมตีกาตาร์ ที่ประชุมจึงสามารถออกแถลงการณ์ประณามอิสราเอลที่กระทำเหตุดังกล่าวได้
“สหรัฐฯ ไม่ต้องการแลกผลประโยชน์ในตะวันออกกลางเพื่ออิสราเอล” อาจารย์มาโนชญ์กล่าว ชี้ว่าฝ่ายขวานี้เอง เป็นฝ่ายที่คิดว่า การปรามอิสราเอลลง ให้กลับมาอยู่ใต้การควบคุมเป็นสิ่งจำเป็น และชี้ว่า “ในสหรัฐฯ มีการแข่งขันกันอยู่ ระหว่างฝ่ายขวา และฝ่ายสนับสนุนอิสราเอล”
อจารย์มาโนชญ์เน้นย้ำว่า แม้สหรัฐฯ จะไม่พอใจอิสราเอลอย่างไร แต่การตัดสัมพันธ์ระหว่างสองชาตินี้ แทบเป็นไปไม่ได้ อย่างไรเสียความเป็นพันธมิตรจะดำเนินต่อ เพียงแต่ต้องหาจุดที่สมดุลผลประโยชน์ 2 ฝ่าย
ในวันที่โลกโดดเดี่ยวอิสราเอลมากขึ้นทุกที เห็นได้จากการที่ชาติตะวันตก อดีตพันธมิตรออกมารับรองรัฐปาเลสไตน์ อิสราเอลจึงมองหาทางออกระยะยาวว่า หากโลกทิ้งตนแล้ว อิสราเอลจะอยู่คนเดียวอย่างไรให้ได้ เราจึงได้เห็นเนทันยาฮูออกมาประกาศว่า อิสราเอลต้องสร้างอาวุธยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ ให้ได้เอง มีอุตสาหกรรมอาวุธครบวงจร ไม่ต้องพึ่งพาภายนอก
แต่ถึงอย่างนั้น จะตัดสหรัฐฯ ก็ยังเป็นไปไม่ได้ และการมีเพื่อนคนเดียว ก็หมายความว่าเพื่อนคนนั้นยิ่งมีความสำคัญขึ้น
“ในสภาพที่อิสราเอลโดดเดี่ยวอย่างนี้ ยิ่งเพิ่มอำนาจต่อรองให้สหรัฐฯ สามารถกดดันได้ในฐานะที่พึ่งหลัก และสหรัฐฯ จะปรับให้เกิดสมดุลของผลประโยชน์” อาจารย์มาโยชญ์กล่าว
ไม่ใช่แค่การสนับสนุนและความกดดันจากภายนอกที่ผันผวน ภายในประเทศอิสราเอลก็ไม่ได้มั่นคงเสียเท่าใดนัก เศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และภาพลักษณ์อิสราเอลกำลังดิ่งลง
ด้านการเมือง คะแนนนิยมต่อเนทันยาฮูถดถอย และกระแสต่อต้านเพิ่มขึ้นอย่างสูง ทำให้การเลือกตั้งทั่วไปอิสราเอล ซึ่งจะเกิดขึ้นในเดือนตุลาคม 2569 เป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน อันเป็นผลมาจากสงครามที่ดำเนินต่อเนื่อง ไม่มีทีท่าจะจบลง และเป็นความตั้งใจของเนทันยาฮูเอง
“เนทันยาฮูก็ต้องการที่จะยื้อสงครามนี้ออกไปเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะสงครามในฉนวนกาซา หรือสงครามในภูมิภาค ระหว่างอิสราเอลกับเยเมน และสงครามกับเลบานอน ซีเรีย อิหร่าน เพราะถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่สงครามจบ เนทันยาฮูจะต้องไปเผชิญกับคดีความของเขาในหลาย ๆ เรื่อง และชีวิตการเมืองของเขาจะจบลง”
กระแสความไม่พอใจของประชาชนต่อเนทันยาฮูที่สูงลิ่ว ทำให้มีการรวมตัวของฝ่ายค้านเพื่อโค่นล้มนายกรัฐมนตรีกระหายสงครามผู้นี้ ทำให้อาจารย์มาโนชญ์เชื่อว่า หากมีการเลือกตั้ง เนทันยาฮูคงไม่ได้นั่งเก้าอี้ต่อ
“ตอนนี้เนทันยาฮูคงจะคิดหนัก ว่าจะทำอย่างไรให้คนอิสราเอลเห็นว่า อิสราเอลเป็นฝ่ายชนะในสมรภูมินี้ และคนจะคิดว่าเนทันยาฮูชนะได้ก็คือ ต้องไม่มีฮามาสในฉนวนกาซา และผนวกกาซาและเวสต์แบงก์เข้ากับอิสราเอล [...] แต่ผมคิดว่าเนทันยาฮูไม่น่าจะอยู่ในอำนาจได้ถึงเลือกตั้งครั้งหน้า แต่น่าจะถูกฝ่ายค้านโค้นลงก่อน” อาจารย์กล่าว
แต่แม้เนทันยาฮูถูกโค่น ก็ไม่ได้หมายความว่าความรุนแรงในกาซาจะสิ้นสุดลง กระแสต่อต้านเนทันยาฮูที่เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะอยากผนวกดินแดนปาเลสไตน์ แต่เพราะทำในแนวทางที่ไม่ถูกใจประชาชนมากกว่า เพราะแนวคิดการผนวกกาซาและเวสต์แบงก์ยังคงประทับอยู่ลึกในสังคมอิสราเอล