Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
สื่อกัมพูชาเป็นของใคร? นักข่าวอิสระชี้ปัญหาคือรายงานข่าวโดยไม่ตรวจสอบ
โดย : ณัฏฐณิชา ภู่คล้าย

สื่อกัมพูชาเป็นของใคร? นักข่าวอิสระชี้ปัญหาคือรายงานข่าวโดยไม่ตรวจสอบ

30 ก.ค. 68
10:46 น.
แชร์

ความขัดแย้งบริเวณชายแดนระหว่างไทยและกัมพูชา เป็นภาพสะท้อนการเผยแพร่ข่าวสารของสองประเทศได้เป็นอย่างดี ในขณะที่สื่อไทยนั้นก็มีปัญหาเป็นของตนเอง แต่ยังไม่ใช่เรื่องที่เราจะพูดกันในครั้งนี้ เพราะ Spotlight ต้องการสำรวจสื่อของประเทศเพื่อนบ้านว่าที่ผ่านมามีลักษณะใดที่อาจส่งผลต่อสงครามข่าวสารครั้งนี้บ้างหรือไม่ สิ่งนั้นคือ เสรีภาพในการทำข่าว

ทำไมเสรีภาพสื่อจึงสำคัญ?

เสรีภาพสื่อ เป็นเสาหลักเสาสำคัญเสาหนึ่งของสังคมประชาธิปไตย การมีเสรีภาพสื่อทำให้นักข่าวสามารถตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล และเสนอมุมมองที่แตกต่างได้ เพราะหากสื่อถูกควบคุมและตรวจสอบการเผยแพร่โดยรัฐแล้ว ก็คงไม่ต่างอะไรจากหน่วยงานประชาสัมพันธ์ให้รัฐบาล (หรือกลุ่มนายทุนผู้ถือหุ้นใหญ่ของแต่ละสำนักข่าว) ซึ่งสิทธิและเสรีภาพในการทำงานของสื่อก็ปรากฏอยู่ในรัฐธรรมนูญของกัมพูชาด้วย

จากการจัดอันดับ Freedom of Press Index ในปี 2024 โดย Reporters Without Borders (RSF) ประเทศไทยถูกจัดอันดับอยู่ที่ลำดับ 85 จาก 180 ประเทศด้วยคะแนน 56.72 คะแนน ในขณะที่กัมพูชาถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 161 ด้วยคะแนน 28.18 คะแนน

RSF ชี้ว่า ปี 2024 สื่อในหลายประเทศทั่วโลกพบกับการคุกคามเป็นอย่างมาก เนื่องจากปีดังกล่าวเป็นปีที่มีการเลือกตั้งมากที่สุด ทำให้ผู้มีอิทธิพลยื่นมือเข้ามาควบคุมข่าวสาร เพื่อให้ประชาชนรับรู้สิ่งที่พวกเขาเหล่านั้นต้องการนำเสนอ อันจะเป็นประโยชน์ต่อการเลือกตั้ง รวมถึงความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์และความขัดแย้งภายในประเทศหลายพื้นที่ ที่เป็นอันตรายต่อไม่ใช่แค่การทำข่าว แต่ต่อชีวิตของนักข่าว Committee to Protect Journalists เผยว่ามีนักข่าวถูกสังหาร (เฉพาะที่ได้รับการยืนยัน) 103 คนทั่วโลก แต่เชื่อกันว่าตัวเลขจริงสูงกว่านั้น


คนกัมพูชารับข่าวสารจากไหน

อ้างอิงตามรายงานของ CNA ในปี 2021 วิธีการหลักในการรับข่าวสารของคนกัมพูชาคืออินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดีย กัมพูชามีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตที่ลงทะเบียนมากกว่า 15.8 ล้านคน และผู้ใช้โซเชียลมีเดียมากกว่า 8.4 ล้านคน โซเชียลมีเดียเข้ามาแทนโทรทัศน์ได้แล้วในปี 2559

สื่อออนไลน์ยอดนิยมอย่าง Fresh News มี Lim Cheavutha ผู้มีจุดยืนสนับสนุนจีนเป็นเจ้าของ ทั้งยังมีช่องโทรทัศน์ และคลื่นวิทยุด้วย, Sabay News โดย Sabay Digital Corporation มี CEO คือนักธุรกิจ Chy Sila, และ DAP News มีเจ้าของคือ Soy Sopheap

ที่ตามมาติด ๆ คือ โทรทัศน์ ในรายงานปี 2017 ของ CCIM ชี้ว่ากว่า 8 จาก 10 สถานีโทรทัศน์หลักของกัมพูชา มีพรรคประชาชนกัมพูชาเป็นเจ้าของ ตัวอย่างเช่น ช่องโทรทัศน์ที่มีคนดูมากที่สุดหรือราวเจ้า 30% ของคนดูตามข้อมูลปี 2020 คือ National Television of Cambodia (TVK) ที่ดำเนินการโดยรัฐบาลเอง

สถานีเอกชนก็เช่นกัน Cambodian Television Network (CTN) ที่ Cambodian Broadcasting Service Co., LTD เป็นบริษัทที่ Kith Meng นักธุรกิจที่รวยที่สุดของประเทศและให้การสนับสนุนรัฐบาลตระกูลฮุนอย่างดี ถือครองทั้งหมด สถานีโทรทัศน์เอกชนแห่งที่สองของประเทศ Bayon Television มี ฮุน มานา ลูกสาวคนโตของอดีตนายกรัฐมนตรี ฮุน เซน เป็นเจ้าของกิจการเพียงผู้เดียว และ Kao Kim Hourn ผู้เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของทำเนียบนายกฯ เป็นผู้ก่อตั้ง SEATV

สถานีโทรทัศน์เอกชนที่มีเรตติ้งมากที่สุดในประเทศอย่าง Hang Meas นั้นไม่ได้ครอบครองโดยตระกูลฮุน แต่ Ing Chhay Nguon นักธุรกิจที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพรรคประชาชนกัมพูชา และมีความร่วมมือด้านธุรกิจระหว่าง Hang Meas กับสถานีโทรทัศน์ของ ฮุน มานา และ Royal Group ของนักธุรกิจชาวกัมพูชา-จีน Kith Meng ในการทำโทรทัศน์ดิจิทัลเมื่อปี 2564

ส่วนสื่อที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับ 3 คือ วิทยุ แต่จากแบบสำรวจในปี 2015 Cambodia Media & Research for Development พบว่าในปี 2017 รัฐบาลปิดสถานีวิทยุไปกว่า 32 สถานี และตามมาด้วยอันดับที่ 4 คือ สื่อสิ่งพิมพ์ แต่ลดความสำคัญลงในปี 2015

การทำงานของสื่ออิสระในกัมพูชา

แดเนียล คีตัน-โอลเซน (Danielle Keeton-Olsen) เป็นผู้สื่อข่าวอิสระสัญชาติสหรัฐฯ ที่ทำงานในกัมพูชามานาน 8 ปี ก่อนหน้านี้เธอทำงานกับ VOD ที่ถูกกดดันให้ปิดตัวไปโดยรัฐบาลกัมพูชาเมื่อต้นปี 2023 เธอกล่าวถึงความท้าทายในการทำงานข่าวของกัมพูชากับทีมข่าว Spotlight

“ก็ไม่ใช่เป็นไปไม่ได้ที่จะรายงานข่าวจากที่นี่ [กัมพูชา] แต่ก็ค่อนข้างท้าทาย เป็นความเสี่ยงและความไม่แน่นอนของการทำงานข่าวทั่วไปนั่นแหละ แต่นักข่าวกัมพูชาเสี่ยงเป็นพิเศษ [...] ประเด็นที่มีความเสี่ยงในการรายงานเป็นพิเศษคือ การเมือง สิ่งแวดล้อม และโดยเฉพาะเรื่องการตัดไม้ทำลายป่าในกัมพูชา”

เมื่อถามถึงความเห็นว่าเธอคิดว่าสื่อกัมพูชาถูกควบคุมโดยรัฐบาลมากหรือไม่? โอลเซนคิดว่าไม่ ยิ่งเมื่อเทียบกับประเทศใกล้เคียงอย่างเวียดนามที่มีการควบคุมสื่อโดยรัฐบาลสูง กัมพูชาไม่มีปัญหานั้นมากเท่าน้ืน แต่ปัญหาคือ การไม่ตรวจสอบข้อมูลมากกว่า

“ฉันคิดว่าปัญหาอยู่ที่การตรวจสอบข้อมูลมากกว่าการถูกควบคุม [...] พวกเขาแค่ส่งต่อข้อมูลแทนที่จะใช้เวลาตรวจสอบข้อมูลนั้น ฉันว่าที่นี่ยังไม่มีวัฒนธรรมการตรวจสอบสิ่งที่รัฐบาลกล่าวอ้างอย่างแข็งแรงนัก”

“ฉันคิดว่าโดยทั่วไปแล้ว โซเชียลมีเดียทำให้เรารับข้อมูลเร็วเกินไปโดยที่ยังไม่ได้คิดให้ถี่ถ้วนว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง เพราะแบบนั้นแหละ ฉันเลยคิดว่าผู้คนก็เชื่อในข้อมูลบางส่วน และก็ไม่เชื่อในบางส่วน”

อิทธิพลจากจีน

เมื่อปี 2021 CNA ได้เปิดเผยรายงานฉบับหนึ่งชื่อว่า China’s Efforts to Shape the Information Environment in Cambodia โดย Ryan Loomis และ Heidi Holz ซึ่งสะท้อนว่าไม่ใช่เพียงรัฐบาลกัมพูชาเองเท่านั้นที่ยื่นมือเข้ามาควบคุมสื่อ แต่รวมถึงจีนที่ล่วงล้ำเข้ามาในโลกข่าวสารของประเทศนี้ด้วยเช่นกัน

รายงานพบว่า ทิศทางของสื่อกัมพูชาเปลี่ยนแปลงอย่างมากช่วงปี 2017–2018 เพื่อคงสถานภาพทางการเมืองระหว่างการเลือกตั้ง ฮุน เซน ปราบปรามสื่อเพื่อให้แน่ใจว่าพรรคประชาชนกัมพูชาได้ชัยชนะ

โอลเซนเล่าถึงการปราบปรามฝ่ายตรงข้ามและสื่อที่เกิดขึ้นในปี 2017 ซึ่งเธอกล่าวว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการกดดันสื่อที่รัฐบาลไม่เห็นชอบให้หายไป

“พวกเขา [รัฐบาลกัมพูชาขณะนั้น] จับกุมหัวหน้าพรรคฝ่ายค้าน แล้วเวลาไล่เลี่ยกัน พวกเขายังได้ล็อบบี้ให้มีการเรียกเก็บภาษีมูลค่า 6 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ กับสำนักข่าวชื่อ The Cambodia Daily ด้วย ในช่วงเดียวกัน พวกเขามีคำสั่งให้สื่ออิสระอย่าง VOD, VOA, และ RFA หยุดออกอากาศทางคลื่นวิทยุ เหตุการณ์เหล่านี้ถือเป็นเหตุการณ์ใหญ่ที่เกิดขึ้นในปี 2017”

การปราบปรามปีนั้นนำมาสู่ 3 สิ่งในโลกสื่อกัมพูชา

  1. ความเชื่อมั่นต่อสื่อดั้งเดิมลดลง
  2. สื่ออิสระเน้นการใช้ช่องทางดิจิทัลเพื่อความอยู่รอด
  3. จีนเข้ามาแทนที่สื่อต่างประเทศที่เคยอยู่แต่หายไป เช่น Voice of America หรือ Radio Free Asia

เมื่อสื่อจีนเข้ามาในโลกข่าวสารของกัมพูชา จีนได้

  • นำเสนอข่าวภายในประเทศด้วยภาษาเขมร เช่น China Radio International
  • ส่งเนื้อหาผ่านสื่อท้องถิ่น เช่น Xinhua, Global Times, People’s Daily และ CCTV รวมถึง Cambodia–China Friendship Radio (CCFR)
  • ร่วมลงทุนกับสื่อท้องถิ่น เช่น TNAOT และ ASEAN TOP NEWS รวมถึง NICE TV ซึ่งร่วมทุนกับกระทรวงมหาดไทยกัมพูชา
  • สนับสนุนศูนย์ข้อมูลท้องถิ่นด้วยเทคโนโลยีต่าง ๆ

จีนใช้บทบาทดังกล่าวส่งเสริม “เรื่องเล่า” ที่ให้ประโยชน์ทางยุทธศาสตร์ เช่น สนับสนุนฮุน เซน, ปราบปรามสื่อ, แสดงตนเป็นผู้ช่วยเหลือช่วงโควิด-19

อย่างไรก็ตาม โอลเซนยังไม่เห็นความพยายามชัดเจนของรัฐบาลจีนในการควบคุมสื่อในกัมพูชาอย่างที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนทำในประเทศตนเอง

เชื่อสื่อกัมพูชาได้ไหมในวันที่มีความขัดแย้ง?

แม้รัฐบาลจะพยายามควบคุมสื่อ แต่สถานการณ์ความขัดแย้งกับ “คนนอก” อย่างไทย กลับทำให้ชาวกัมพูชาเชื่อถือสื่อของตนเองมากขึ้น

“ฉันว่าก็อาจพูดได้ว่าคนเขาเชื่อรัฐบาลกัมพูชามากขึ้นสักหน่อยเวลามีสถานการณ์ความขัดแย้งแบบนี้ [...] พวกเขาไม่รู้จักรัฐบาลไทย หลายคนไม่เคยไปประเทศไทย [...] ไม่ใช่คนกัมพูชาทุกคนจะรู้ภาษาไทย”

ภาษาเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้แยก “เรา” กับ “เขา” และเชื่อข่าวที่อยู่ในภาษาและวัฒนธรรมของตนเองมากกว่า

แม้รัฐบาลจะมีความพยายามในการปราบปรามสื่ออยู่ สิ่งนั้นกลับทำให้สื่ออิสระหลายคนพยายามต่อสู้เพื่อการรายงานข้อเท็จจริง บรรยากาศการทำข่าวในกัมพูชาที่รัฐหรือคนใกล้ชิดรัฐครอบครองสื่อหลัก และการรายงานที่เน้นความเร็วมากกว่าความถูกต้อง ล้วนเป็นประเด็นที่ชวนให้ย้อนมองว่า ประเทศไทยเป็นเช่นนั้นด้วยหรือไม่

อ้างอิง: frontiers, OHCHR, HRW, CNA

แชร์
สื่อกัมพูชาเป็นของใคร? นักข่าวอิสระชี้ปัญหาคือรายงานข่าวโดยไม่ตรวจสอบ