ฮุน เซน ผู้นำทางการเมืองกัมพูชาโพสต์ข้อความร่ายยาวกลางดึกเมื่อคืนวันที่ 20 มิถุนายน 2568 เกี่ยวกับประเด็นที่พรรคฝ่ายค้านของไทยได้เสนอให้รัฐบาลไทยหยุดขายน้ำมันให้กับกัมพูชา เพื่อกดดันให้กัมพูชายอมจำนน โดยระบุว่า “กัมพูชาจะไม่ล้มเหลวเพียงเพราะไม่ได้ซื้อน้ำมันจากประเทศไทย ในทางกลับกัน อาจเป็นบริษัทปตท. ของไทยเองที่ต้องเผชิญกับผลกระทบ หากรัฐบาลไทยต้องการให้ ปตท. ล่มสลายก็จงเดินหน้ามาตรการนี้ต่อไป”
เขายังโพสต์เพิ่มเติมว่า กัมพูชาพร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์ที่ไทยใช้คุกคาม ไม่ว่าจะเป็นอินเทอร์เน็ต ไฟฟ้า แรงงาน และ ล่าสุดก็ขู่ตัดการส่งน้ำมัน ในอดีตไทยดูถูกและเลือกปฏิบัติต่อแรงงานกัมพูชาโดยใช้แรงงานเป็นเครื่องมือต่อรอง แต่เมื่อกัมพูชาประกาศจะรับแรงงานกลับประเทศ ไทยก็เปลี่ยนท่าที… ถ้าแรงงานกัมพูชาถอนตัวจากโรงงาน ฟาร์ม บริษัท และไซต์ก่อสร้าง ธุรกิจจำนวนมากในไทยอาจต้องปิดตัวลง หากไทยกล้าจริงก็ลองไล่แรงงานกัมพูชาออกให้หมด และคอยดูว่าเศรษฐกิจไทยจะได้รับผลกระทบแค่ไหน น้ำมันก็เช่นเดียวกัน แต่อย่าลืมปรึกษาบริษัทปตท. ของไทยก่อน เพราะนั่นอาจหมายถึงการทำลายธุรกิจของพวกเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อปตท. ยังมีสถานีบริการน้ำมันในกัมพูชา”
นอกจากนี้ ยังเรียกร้องให้รัฐบาลกัมพูชาและผู้ประกอบการเลิกทำการซื้อขายสินค้ากับไทย เพื่อไม่ให้ฝ่ายไทยมีเหตุผลมาใช้ข่มขู่อีกต่อไป และหากปัญหาด่านชายแดนยังไม่ได้รับการแก้ไข กัมพูชาควรระงับการนำเข้าสินค้ากระป๋องทุกชนิดจากประเทศไทย ทั้งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เครื่องดื่มให้พลังงาน ปลากระป๋อง หรือเนื้อสัตว์กระป๋อง และหันมาใช้สินค้าผลิตในประเทศหรือสินค้าที่นำเข้าจากประเทศอื่นแทน
อย่างไรก็ตาม ข้อความที่ผู้นำกัมพูชาโพสต์กลางดึกซึ่งเกี่ยวข้องกับประเด็นการค้าระหว่างประเทศ ชวนให้คิดว่าสถานการณ์น้ำมันและก๊าซในกัมพูชาเป็นอย่างไร Spotlight สรุปข้อมูลตัวเลข สถิติ ว่ากัมพูชาต้องพึ่งพาน้ำมันและก๊าซจากไทยมากน้อยแค่ไหน พร้อมชวนวิเคราะห์ว่า หากไทยระงับการส่งออกน้ำมันไปยังกัมพูชาแล้ว กัมพูชาจะไม่ได้รับความเดือดร้อนจริงหรือ? และจะมีวิธีแก้เกมอย่างไรบ้าง?
สถานการณ์น้ำมันและก๊าซในกัมพูชา ณ ปัจจุบัน ยังนับว่า กัมพูชายังคงพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันและผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมทั้งหมด 100% จากต่างประเทศ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคภายในประเทศ เนื่องจากกัมพูชายังไม่สามารถผลิตน้ำมันและก๊าซได้เอง อย่างไรก็ตาม ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2568 กัมพูชานำเข้าน้ำมันดีเซลและน้ำมันเบนซินลดลงประมาณ 13-17% ปัจจัยที่อาจมีส่วนทำให้การนำเข้าลดลง ได้แก่ อุปทานไฟฟ้าภายในประเทศที่เพียงพอมากขึ้น การนำรถยนต์ไฟฟ้า (EV) มาใช้ และราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ค่อนข้างคงที่ ขณะที่การนำเข้าก๊าซเพิ่มขึ้นเล็กน้อย อยู่ที่ประมาณ 1.6%
จากการรายงานของแหล่งข้อมูลการค้า The Observatory of Economic Complexity หรือ OEC พบว่ากัมพูชานำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปหรือ Refined petroleum จากประเทศไทยเป็นหลัก โดยข้อมูลในปี 2566 ระบุว่า มูลค่าการนำเข้าสูงถึง 1,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 55,709 ล้านบาท ซึ่งนับว่าเป็นสัดส่วนเกินครึ่งหนึ่งของน้ำมันสำเร็จรูปทั้งหมดที่ใช้ในประเทศ
ส่วนประเทศที่กัมพูชาซื้อน้ำมันสำเร็จรูปรองลงมาคือ เวียดนาม ซึ่งเคยเป็นผู้ส่งออกหลักให้กัมพูชามาก่อน ในปี 2566 เวียดนามเป็นผู้ส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปรายใหญ่อันดับที่ 2 ของกัมพูชา โดยมีมูลค่าการส่งออกประมาณ 672 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 20,550 ล้านบาท ในปีเดียวกันนั้นเอง กัมพูชานำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปจากสิงคโปร์คิดเป็นมูลค่าประมาณ 530 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 17,370 ล้านบาท โดยสิงคโปร์มีความสำคัญในฐานะศูนย์กลางการกลั่นและซื้อขายน้ำมันในภูมิภาค ทำให้เป็นแหล่งที่มาของน้ำมันสำเร็จรูปที่หลากหลายสำหรับกัมพูชา
สัดส่วนดังกล่าวชี้ให้เห็นว่า ไทยมีบทบาทสำคัญในฐานะผู้ขายน้ำมันสำเร็จรูปให้กัมพูชา แม้ว่า OR จะเป็นผู้เล่นรายใหญ่และมีบทบาทสำคัญอย่างมากในตลาดค้าปลีกน้ำมันของกัมพูชา โดยมีสถานีบริการน้ำมัน PTT Station จำนวนมากและเป็นที่รู้จักกว้างขวาง คาดการณ์ว่าปัจจุบันมีสถานที่ให้บริการน้ำมัน 175 แห่งในกัมพูชา แต่ก็ยังมีผู้ค้าน้ำมันรายอื่น ๆ ของไทยที่ทำการส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปไปยังกัมพูชาด้วยเช่นกัน
สัดส่วนน้ำมันที่ไทยส่งออกให้กัมพูชา หากมีมาตรการระงับเกิดขึ้นจริง แน่นอนว่าผู้ค้าน้ำมันรายใหญ่ของประเทศจะต้องเจ็บตัวไม่น้อย แต่ในขณะเดียวกัน กัมพูชาเองก็จะได้รับผลกระทบไม่แพ้กัน ประการแรกคือ กัมพูชาจะเกิดภาวะขาดแคลนเชื้อเพลิงรุนแรงและราคาน้ำมันพุ่งสูง เนื่องจากประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ที่สุด แม้กัมพูชาจะพยายามหานำเข้าจากแหล่งอื่น เช่น เวียดนาม สิงคโปร์ หรือมาเลเซีย แต่ก็ต้องเผชิญกับ ต้นทุนการขนส่งที่สูงขึ้นมาก เนื่องจากระยะทางที่ไกลกว่า และอาจต้องจ่ายค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมในการเร่งจัดหาน้ำมันกระทันหัน
สิ่งที่ตามมาจากาคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้นจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อต้นทุนการผลิต การขนส่ง และราคาสินค้าอุปโภคบริโภค ทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อรุนแรง ประชาชนได้รับความเดือดร้อน อุตสาหกรรมการขนส่ง การเกษตร โรงงาน และภาคบริการที่ต้องพึ่งพาน้ำมันจะได้รับผลกระทบอย่างหนัก อาจทำให้ธุรกิจหยุดชะงัก การลงทุนลดลง และเศรษฐกิจโดยรวมชะลอตัว
หากกัมพูชาจะแก้เกมด้วยการเร่งพัฒนาการสำรวจและขุดเจาะพลังงานภายในประเทศก็อาจไม่ทันท่วงที แม้กัมพูชามีการสำรวจและพบแหล่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในประเทศ แต่การที่จะผลิตในเชิงพาณิชย์และเป็นไปอย่างต่อเนื่องนั้น ยังเผชิญกับความท้าทายหลายประการ โดยเฉพาะแหล่งน้ำมันและก๊าซนอกชายฝั่ง (Offshore Blocks) อย่าง Block A ห่างจากสีหนุวิลล์ประมาณ 160 กิโลเมตร ที่ดูจะมีความหวังที่สุด และอยู่ในโครงการพัฒนาด้านพลังงานของกัมพูชามาหลายสิบปี แต่ก็ต้องล้มเหลวลงด้วยบริษัทสัมปทานที่ล้มละลายไป
Block A เป็นแหล่งที่สำคัญที่สุดและเคยมีการผลิตน้ำมันหยดแรกของกัมพูชา ซึ่งตั้งอยู่ในอ่าวไทย ห่างจากสีหนุวิลล์ประมาณ 160 กิโลเมตร บริษัท KrisEnergy จากสิงคโปร์ได้รับสัมปทานในปี 2020 แต่ประสบปัญหาทางการเงินและล้มละลาย ทำให้การผลิตหยุดชะงัก นอกจากนี้ กัมพูชายังประสบปัญหา พื้นที่ทับซ้อนทางทะเล (Overlapping Claims Area - OCA) ที่ไทยและกัมพูชาต่างอ้างสิทธิ์ทับซ้อนกัน คาดการณ์ว่ามีทรัพยากรปิโตรเลียมมหาศาล ก๊าซธรรมชาติมูลค่า 3.5 ล้านล้านบาท และน้ำมันดิบมูลค่า 1.5 ล้านล้านบาท หรือรวมกว่า 5 ล้านล้านบาท