ดร.สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ นักวิชาการอิสระด้านเศรษฐศาสตร์ วิเคราะห์ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา และท่าทีของนายกรัฐมนตรีไทย ที่กำลังทำให้สถานการณ์ความเชื่อมั่นทั้งการเมืองและเศรษฐกิจชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัด โดยกล่าวถึงเหตุการณ์เผยแพร่บันทึกการสนทนาระหว่างนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตรและฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชาว่า สะท้อนให้เห็นประสบการณ์ที่แตกต่างกันอย่างมากระหว่างผู้นำของสองประเทศ ซึ่งต้องยอมรับว่านายกรัฐมนตรีของไทยมีประสบการณ์น้อยกว่า
ดร. สมชาย ระบุว่า “วิธีเดินเกมของผู้นำทั้งสองประเทศแตกต่างกันพอสมควร เพราะอย่าลืมว่า ฮุน เซน รับตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศตั้งแต่อายุยี่สิบกว่า เรียกว่าตั้งแต่สิ้นสุดยุคเขมรแดงก็ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำตั้งแต่ยังหนุ่ม และอย่าลืมว่าฮุน เซน ดำรงตำแหน่งอย่างอยู่ยงคงกระพัน รอดมาได้ทุกยุคก็ไม่ใช่ธรรมดา จนก้าวขึ้นมาครอบครองกัมพูชาในขณะที่ต้องต่อสู้กับคู่แข่งไม่ใช่น้อย เพราะฉะนั้น ฮุน เซนจึงนับว่ามีประสบการณ์สูงมาก ต่างกับนายกรัฐมนตรีของเราที่ประสบการณ์น้อย”
ล่าสุด นายกรัฐมนตรีแพทองธารได้มีการลงพื้นที่เยี่ยมกำลังพลช่องบก อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี ในวันนี้ (20 มิถุนายน 68) ซึ่งหลายฝ่ายกำลังจับตาท่าทีเคลียร์ใจกับพล.ท. บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ด้านดร.สมชายมองว่า อย่างน้อยก็เป็นท่าทีที่ทำให้ประชาคมโลกและประชาชนมองเห็นว่ารัฐบาลกับทหารยังคงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เพราะเนื้อหาที่พูดผ่านการสนทนานั้น หลายคนให้ความสนใจกับมุมมองที่เรียกทหารว่าเป็นฝั่งตรงข้าม
อย่างไรก็ตาม การลงพื้นที่เยี่ยมทหารชายแดนหรือแม้แต่การพบหน้ากับแม่ทัพภาค 2 จะไม่ได้เป็นตัวกระตุ้นให้มีการกลับมาเปิดเขตชายแดนตามปกติ ยังคงต้องใช้เวลาอีกนานอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่อย่างไรก็จะมีการเปิดชายแดนอย่างแน่นอน เพราะทั้งสองฝ่ายต่างได้รับผลกระทบจากมาตรการนี้ เพียงแค่ช่วงนี้ยังเป็นช่วง “น้ำเดือด” ที่คงไม่มีฝ่ายใดจะลดตัวอ่อนข้อให้กับอีกฝ่าย
ดร. สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ คาดการณ์เกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองที่อาจจะเกิดขึ้นในช่วงนี้ อาจารย์มองว่า สถานการณ์สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ฉากทัศน์
อย่างไรก็ตาม ฉากทัศน์ที่เกิดขึ้นจริงอยู่ในขณะนี้ คือรัฐบาลพยายามคงตัวผู้นำเป็นคุณแพทองธารไว้ตามเดิม โดยแสดงให้เห็นว่ากำลังขอโอกาสในการแก้ไข คุมสถานการณ์เอาไว้ให้ลงตัวที่สุด เพราะปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาเป็นเพียงหนึ่งในปัญหาทั้งหมด รัฐบาลยังต้องเผชิญกับการแก้เกมภาษีของสหรัฐฯ และวิกฤตเศรษฐกิจต่าง ๆ
“แพ้ทั้งสองฝ่าย” คือคำจำกัดความที่ดร. สมชาย มีต่อการคาดการณ์ที่ว่า หากความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชายังคงไม่ผ่อนคลาย จะเกิดอะไรขึ้น? ไม่ว่าจะเป็นการปิดชายแดน หรือความตึงเครียดทั้งในระดับรัฐบาลล้วนส่งผลเสียต่อการค้าของทั้งสองประเทศ อย่างไรก็ตาม หากวัดเป็นตัวเลขที่ส่งผลกระทบแล้ว สัดส่วนการค้าของกัมพูชาที่มีต่อไทยนับเป็นเพียง 1% ของเศรษฐกิจมหภาค กลุ่มที่จะได้รับผลกระทบที่กลุ่มเปราะบางตรงชายแดนและ SME ไทยที่ทำธุรกิจกับกัมพูชาโดยตรง
ในขณะที่กัมพูชาเดือดร้อนมากกว่าเพราะต้องพึ่งพาสินค้าจากไทย ไทยอาจต้องพึ่งพาแรงงานจากกัมพูชาอยู่บ้าง แต่สัดส่วนของแรงงานต่างด้าวในปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 1,000,000 คน แต่แรงงานกัมพูชามีประมาณ 200,000 คนเท่านั้น และในจำนวนนี้ ไม่ใช่ว่าแรงงานทุกคนจะตัดสินใจกลับบ้านเพียงเพราะการเมืองระหว่างประเทศมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดี เพราะหลายฝ่ายต่างทราบดีว่ากัมพูชาไม่มีตลาดที่ใหญ่มากพอจะรองรับแรงงานในประเทศ
ปัญหาที่ใหญ่หลวงกว่าของรัฐบาลไทยที่ต้องแก้เกมให้ได้ในขณะนี้ คือประเด็นการเจรจาลดภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ซึ่งรัฐบาลไทยเพิ่งจะได้คิวเจรจาเมื่อไม่นานมานี้ นักวิเคราะห์ทางเศรษฐกิจหลายฝ่ายก็มองว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยหลังจากนี้จะเพิ่มขึ้นเพียง 1-2% นับว่าเติบโตช้าที่สุดในอาเซียน
นอกจากนี้ การเติบโตทางเศรษฐกิจสะท้อนว่ารัฐบาลที่ผ่านมาแก้แต่ปัญหาเฉพาะหน้า แต่ไม่แก้ปัญหาเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจของไทยที่ไม่ได้ถูกพัฒนาให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลก ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ไทยไม่ได้พัฒนาด้านการศึกษา ด้านเทคโนโลยี ไม่ได้มีการส่งเสริมการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นปัญหาสะสมมาโดยตลอด และกำลังเป็นเนื้อร้ายที่กัดกินเศรษฐกิจไทยให้ตายลงอย่างช้า ๆ นี่จึงเป็นโจทย์ทางเศรษฐกิจที่สำคัญกับรัฐบาลไทยมากกว่าความขัดแย้งบนชายแดน