กระทรวงต่างประเทศเผย ผิดหวังที่กัมพูชาไม่ยอมเจรจา 4 พื้นที่ชายแดน จะนำสู่การพิจารณาศาลโลกเท่านั้น พร้อมยืนยันไทยไม่รับอำนาจศาลโลก แต่เตรียมพร้อมรับมือเข้ม
ภายหลังการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม ไทย - กัมพูชา Joint Boundary Commission (JBC) ครั้งที่ 6 ซึ่งสิ้นสุดไปแล้วเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 68 นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงการณ์ถึงผลการประชุมยืนยันข้อเท็จจริงว่า กัมพูชาได้แจ้งต่อที่ประชุมว่าไม่ต้องการนำพื้นที่พิพาทชายแดน 4 จุด ได้แก่ พื้นที่ช่องบก ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาควาย เข้าสู่การเจรจาในวงประชุมของณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม ไทย - กัมพูชา อีกต่อไป และรัฐบาลกัมพูชาได้แจ้งต่อสาธารณชนว่าจะนำประเด็นเหล่านี้ เข้าสู่การพิจารณาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศหรือ ICJ
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลไทยได้แสดงความผิดหวังต่อท่าทีของกัมพูชา โดยนายเบญจมินทร์ สุกาญจนัจที อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย มองว่าเป็นเรื่องน่าเสียดายที่กัมพูชานำประเด็นพิพาทขึ้นสู่ศาลโลกไปก่อน แทนที่จะมาเจรจาทวิภาคีหรือใช้กลไกการเจรจาอื่น ๆ ที่จะตกลงกันได้ตามธรรมเนียม โดยเฉพาะกรอบ MOU 2543 บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลกัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก ที่ระบุไว้ว่า หากมีข้อพิพาทชายแดน ทั้งสองประเทศต้องเจรจาทวิภาคีก่อน หรือแม้แต่ กฏบัตรสหประชาชาติที่เน้นให้คู่กรณีเริ่มต้นเจรจาโดยไม่มีตัวกลาง ทั้งนี้ รัฐบาลไทยขอเรียกร้องให้กัมพูชากลับมาใช้เครื่องมือเจรจาทวิภาคีอีกครั้ง
นอกจากนี้ การนำข้อพิพาทขึ้นสู่คำตัดสินของศาลโลกนั้น มีขั้นตอนเริ่มต้นสำคัญคือความยินยอมของคู่กรณีทั้งสองฝั่ง และวางกรอบการพิจารณาร่วมกัน แต่ในกรณีนี้ ไทยไม่ได้รับอำนาจศาลโลกมาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2503 จึงเป็นการนำเข้าสู่ศาลโลกอยู่ฝ่ายเดียว และประเด็นพิพาทยังไม่ถึงขั้นที่การเจรจาทวิภาคีจะแก้ปัญหาไม่ได้
อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นทางรัฐบาลไทยยังไม่รับแจ้งข้อกล่าวหาหรือการฟ้องร้องใด ๆ จาก ICJ เลยว่า รายละเอียดคำร้องของกัมพูชาฟ้องประเทศไทยว่าอย่างไร และใช้ฐานอำนาจอะไรในการฟ้องร้อง แต่รัฐบาลไทยก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ เพราะมีกระทรวงต่างประเทศและภาคส่วนอื่น ๆ ได้จัดคณะทำงานเพื่อเตรียมรับมืออย่างใกล้ชิด และเริ่มศึกษาความเป็นไปได้ทางกฎหมายที่อาจเกิดขึ้นแล้ว หากศาลโลกหยิบยกประเด็นดังกล่าวขึ้นมาพิจารณาจริง
โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ยอมรับว่าได้เห็นคำขู่และคำขาดของกัมพูชาต่อประเทศไทยแล้ว หลังสมเด็จฮุน เซน วุฒิสมาชิกและอดีตนายกฯ กัมพูชา ประกาศว่า ประเทศไทยจะต้องกลับมาเปิดจุดผ่านแดนทั้งหมดกับกัมพูชาภายใน 24 ชั่วโมง มิเช่นนั้น กัมพูชาจะสั่งปิดจุดผ่านแดนทั้งหมดของกัมพูชาที่ติดชายแดนไทย และสั่งแบนการนำเข้าสินค้าจากไทยทุกประเภท ซึ่งมองว่าการสื่อสารแบบนี้ เป็นเรื่องที่รับไม่ได้
นายนิกรเดชกล่าวว่า ไทยไม่เห็นด้วยกับคำขาดเหล่านี้และจะไม่เล่นตามเกมของกัมพูชา ที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นมาตรการตอบโต้ใด ๆ ต่อกัมพูชา ประเทศไทยดำเนินมาตรการในระดับรัฐบาลเท่านั้น ไม่เคยมีคำสั่งใดที่ตั้งใจให้กระทบไปถึงประชาชน โดยเฉพาะเรื่องการปิดด่านชายแดนหรือการขับไล่นักเรียนและแรงงานกัมพูชากลับประเทศนั้น ไม่เป็นความจริง และพลเมืองกัมพูชาที่พำนักในประเทศไทยยังมีสิทธิเดินทางเข้าออกได้ตามปกติตามเสรีภาพแรงงาน
นอกจากนี้ รัฐบาลยังขอเตือนกัมพูชาให้ระมัดระวังทางด้านการสื่อสารในโซเชียลมีเดีย ที่ได้สร้างข่าวลวง-ข่าวปลอม และนำมาสู่ความเข้าใจผิดของประชาชนทั้งสองประเทศ
ในการแถลงข่าวครั้งนี้ เอกอัครราชทูตประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย ประธานกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา ฝ่ายไทย เปิดเผยว่า การประชุม JBC เกิดขึ้นมาเป็นครั้งที่ 6 แต่ตนได้มีประสบการณ์เข้าร่วมมา 5 ครั้งแล้ว และมองว่าบรรยากาศในการเจรจากับตัวแทนกัมพูชาครั้งล่าสุด เป็นไปอย่างราบรื่นมากที่สุดหากเทียบกับครั้งก่อน และยังมองว่าสร้างผลการประชุมที่ “ประสบความสำเร็จทางเทคนิค” ซึ่งหมายความว่าการประชุมในครั้งนี้ ช่วยลดความตึงเครียดระหว่างสองประเทศ และเปรียบเสมือนเป็นการเปิดประตูเจรจาชายแดนบานแรก
นอกจากนี้ ยังบรรยายถึงขั้นตอนทำงาน 5 ขั้น ระหว่างไทยและกัมพูชาที่ทำมาร่วมกันตลอดหลายปี เพื่อปักปันเขตแดนระหว่างสองประเทศ ดังนี้
1. การตรวจหาหลักเขต ซึ่งหลักปักปันเริ่มต้นทำร่วมกันตั้งแต่ ปีพ.ศ. 2462 - 2463 ซึ่งตั้งใจจะปักปันทั้งหมด 74 หลัก แต่ล่าสุดเห็นชอบไปแล้ว 45 หลัก เหลืออีก 29 หลักที่ยังไม่ลงตัว
2. ต้องมีการบินถ่ายภาพทางอากาศเพื่อทำแผนที่ ซึ่งในขั้นตอนดังกล่าวมีการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาจัดทำ Photo Map เพื่อใช้เป็นกรอบการทำงานร่วมกัน
3. ทั้งสองประเทศจัดทีมเดินสำรวจเส้นทางร่วมกัน ว่าจะใช้เส้นทางใดในการปักปันเขตแดนครั้งใหม่
4.ทั้งสองประเทศจัดทีมปักปันเขตแดนในพื้นที่ร่วมกัน ร่วมถึงแบ่งปันค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่อาจเกิดขึ้น โดยธรรมเนียมแล้วก็จะแบ่งครึ่ง
5. และขั้นตอนสุดท้ายจะกลับมาสรุปและคุยกันบนโต๊ะเจรจา เพื่อให้ประธาน JBC เห็นชอบ
จากขั้นตอนข้างต้นจะเห็นได้ว่าค่อนข้างใช้เวลานาน และมีอุปสรรคปัญหายิบย่อยที่พร้อมเกิดขึ้นได้เสมอ และเป็นปัญหาที่กัมพูชาหยิบยกขึ้นมาโจมตีในปัจจุบันด้วย โดยนายฬำ เจีย รัฐมนตรีผู้รับผิดชอบกิจการชายแดนกัมพูชา ได้ประกาศจุดยืนอย่างเด็ดขาดว่า กัมพูชาจะใช้เฉพาะแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ตามเจตนารมณ์ของอนุสัญญาฝรั่งเศส-สยาม ปี 1904 และ 1907 เท่านั้น และปฏิเสธแผนที่ฝ่ายไทยที่วาดขึ้นเองฝ่ายเดียวอย่างสิ้นเชิง
ในประเด็นนี้ ประธาน JBC ฝั่งไทยเปิดเผยว่า ไทยยังยืนยันใช้แผนที่มาตราส่วน 1:50,000 หมายความว่า 1 เซนติเมตรบนแผนที่จะเท่ากับ 50,000 เซนติเมตร หรือ 500 เมตรในความเป็นจริง ซึ่งจะละเอียดมากกว่าและเห็นเนินเขา ลำธาร แม้กระทั่งเส้นทางเล็กๆ ได้อย่างแม่นยำ ขณะที่มาตรา 1:200,000 จะเท่ากับ 2 กิโลเมตร ในความเป็นจริง แผนที่ชุดนี้มีรายละเอียดน้อยกว่าแผนที่ไทยถึง 4 เท่า
คำกล่าวอ้างของรัฐบาลกัมพูชาที่โจมตีว่าไทยใช้แผนที่ที่กำหนดขึ้นมาเองนั้นจึงไม่เป็นความจริง โดยให้รายละเอียดว่าแผนที่มาตราส่วน 1:50,000 จัดทำขึ้นจากทีมงานของสหรัฐฯ ร่วมกับหลายประเทศในอาเซีย รวมถึงกัมพูชาและไทยด้วย ซึ่งแผนที่มาตราส่วนนี้ กองทัพทั่วโลกก็ใช้กัน แม้แต่กองทัพไทยและกัมพูชาก็เคยใช้แผนที่ที่มีความละเอียดเช่นนี้มาก่อน