หลายคนยังคงสับสนว่ารายได้แบบไหนบ้างที่ต้องนำมาคำนวณเพื่อเสียภาษี โดยเฉพาะในยุคที่รายได้มีหลากหลายรูปแบบ หลากหลายช่องทาง บทความนี้จะมาชวนทำความเข้าใจในประเด็นนี้กันชัด ๆ เพื่อที่จะได้นำไปปรับใช้ในการจัดการภาษีของแต่ละคนกันครับ
โดยสิ่งที่เราควรควรเริ่มทำความเข้าใจก็คือ ตัวกฎหมายภาษีอย่างประมวลรัษฏากร ที่พูดถึงเรื่องนี้ไว้อย่างชัดเจนผ่านนิยามของคำว่า เงินได้พึงประเมิน นั่นเองครับ
"เงินได้พึงประเมิน" หมายความว่า เงินได้อันเข้าลักษณะพึงเสียภาษีในหมวดนี้ เงินได้ที่กล่าวนี้ให้หมายความรวมตลอดถึงทรัพย์สิน หรือประโยชน์อย่างอื่นที่ได้รับซึ่งอาจคิดคำนวณได้เป็นเงิน เงินค่าภาษีอากรที่ผู้จ่ายเงินหรือผู้อื่นออกแทนให้สำหรับเงินได้ประเภทต่าง ๆ ตามมาตรา 40 และเครดิตภาษีตามมาตรา 47 ทวิ ด้วย |
ในทางกฎหมายภาษี (มาตรา 39 แห่งประมวลรัษฏากร) กฎหมายไม่ได้ใช้คำว่า "รายได้" แต่ใช้คำว่า "เงินได้พึงประเมิน" ซึ่งจะสังเกตได้ว่ามีนิยามที่กว้างมาก หมายถึง เงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์ใดๆ ก็ตามที่ได้รับและสามารถคำนวณเป็นตัวเงินได้ รวมถึงภาษีที่ผู้จ่ายเงินหรือผู้อื่นออกให้ และเครดิตภาษีตามกฎหมายกำหนด
ดังนั้น หลักการพื้นฐาน คือ ให้ตั้งสมมติฐานไว้ก่อนว่า "ทุกสิ่งที่ได้รับมาถือเป็นเงินได้พึงประเมิน" และต้องนำมาเสียภาษีเงินได้ เว้นแต่ว่า … จะมีกฎหมายยกเว้นไว้เป็นกรณีพิเศษ
เพราะถึงแม้เงินได้พึงประเมินจะมีนิยามที่กว้างอย่างที่ว่ามา แต่ก็มีรายได้บางประเภทที่กฎหมายระบุไว้ชัดเจนว่าได้รับ "ยกเว้น" ภาษี โดยกฎหมายได้ระบุไว้ชัดเจนในมาตรา 42 และข้อกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
มาตรา 42 เงินได้พึงประเมินประเภทต่อไปนี้ ให้ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ |
โดยตัวอย่างที่คุ้นเคยกันที่มักจะพูดถึงบ่อย ๆ เช่น มาตรา 42 (27) เงินได้ที่ได้รับจากการอุปการะหรือจากการให้โดยเสน่หาจากบุพการี ผู้สืบสันดาน หรือคู่สมรส เฉพาะเงินได้ในส่วนที่ไม่เกินยี่สิบล้านบาทตลอดปีภาษีนั้น หรือที่คนชอบนำมาพูดเล่น ๆ ว่า ให้โดยเสน่หาไม่ต้องเสียภาษี (ถ้าไม่เกินจำนวนและเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด) นั่นเองครับ
จากตรงนี้เราจะเห็นความเชื่อมโยงกันในมิติของการยกเว้นเงินได้ แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีการยกเว้นเงินได้บางกลุ่มจากหลักการของแหล่งที่มาของเงินได้เช่นกันครับ นั่นคือ
ในปัจจุบัน กฎหมายภาษีของไทยพิจารณาแหล่งที่มาของเงินได้เป็น 2 กรณี ตามมาตรา 41 แห่งประมวลรัษฏากร ซึ่งสรุปเนือหาสำคัญได้ว่า
ดังนั้นหากพิจารณาหลักการทั้ง 3 ข้อร่วมกันแล้ว จะเห็นว่า ถ้าเรารู้ว่าเรามีเงินได้เกิดขึ้น ซึ่งเงินได้นั้นกฎหมายไม่ยกเว้นโดยตรง หรือ ยกเว้นจากการที่ไม่ได้เกิดขึ้นในประเทศไทย เราก็มีหน้าที่นำเงินได้นั้นมาคำนวณเพื่อเสียภาษีให้ถูกต้องนั่นเองครับ
อย่างไรก็ดี สิ่งที่คนเข้าใจผิดและไปผูกติดกันก็คือ วิธีการหลีกเลี่ยงภาษี เช่น การรับเงินสด การไม่ยื่นภาษี การคิดว่ามีวิธีที่สรรพากรตรวจสอบไม่พบ ซึ่งตรงนี้จะไม่ตรงกับหลักการของกฎหมาย นั่นคือ หากถูกตรวจสอบพบเมื่อไร ก็จะมีปัญหากับทางสรรพากรเมื่อนั้น เพราะหลักการสำคัญเป็นดังที่ว่ามานั่นเองครับ
นอกจากนี้ ในกรณีของผู้ประกอบการที่มีรายได้จากการขายสินค้าหรือบริการ (ที่ไม่ได้รับการยกเว้น VAT) เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ยังมีหน้าที่ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ซึ่งเป็นคนละส่วนกับภาษีเงินได้อย่างที่ว่ามาครับ
เมื่อมาถึงตรงนี้ หลายคนอาจจะเริ่มเห็นว่า โดยปกติแล้วรายได้ที่เราได้รับจากการทำงานต่าง ๆ มักจะต้องถือเป็นเงินได้ที่ต้องเสียภาษีอยู่แล้วใช่ไหมครับ สิ่งที่อยากชวนทำความเข้าใจต่อไปก็คือ เรื่องของประเภทเงินได้ครับ
เพราะการรู้ประเภทของเงินได้มีความสำคัญมาก เนื่องจากแต่ละประเภทมีสิทธิพิเศษในการหักค่าใช้จ่ายแตกต่างกันไป ตามประมวลรัษฎากรสามารถแบ่งเงินได้ออกเป็น 8 ประเภทหลักตามมาตรา 40(1) -(8) ดังนี้
ตรงนี้จุดที่สำคัญที่สุดคือ ตัวของผู้มีเงินได้ (ตัวเรา) ต้องรู้ต่อว่าแล้วมีเงินได้ประเภทไหนจำนวนเท่าไร เพื่อให้สามารถนำมาคำนวณภาษีได้อย่างถูกต้องนั่นเองครับ
สุดท้ายสิ่งที่อยากฝากไว้เมื่อเรารู้ว่า “รายได้ที่มี ต้องเสียภาษีหรือไม่” นั่นคือการเก็บข้อมูลรายได้อย่างครบถ้วน เพื่อให้เราสามารถนำมาคำนวณภาษีได้อย่างถูกต้องนั่นเองครับ
ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษี เจ้าของเพจ TAXBugnoms