การเปิดตัวสำนักงานใหม่ของหอการค้านานาชาติดูไบ ณ กรุงเทพฯ เป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ถึงความเข้มแข็งระหว่างความสัมพันธ์ทางการค้าของดูไบ (สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์) และประเทศไทย ซึ่งทั้งสองประเทศต่างเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของกันและกันในภูมิภาคตน กล่าวอีกอย่างคือไทยคือคู่ค้าอันดับ 1 ของดูไบในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และดูไบคือคู่ค้าอันดับต้น ๆ ของไทยในตะวันออกกลาง
ฯพณฯ มูฮัมหมัด อาลี รอชีด ลูตาห์ กล่าวถึงการเติบโตทางการค้าระหว่างไทยและดูไบที่เติบโตมากขึ้นในช่วงปีหลัง และไม่ได้หยุดอยู่แค่น้ำมัน
“ด้วยการค้าทวิภาคีที่ไม่รวมสินค้าน้ำมัน [ระหว่างดูไบและไทย] เพิ่มขึ้นจาก 5.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2023 เป็น 6.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2024 สะท้อนการเติบโตต่อปีที่ร้อยละ 23 และเน้นย้ำถึงความสำคัญที่เพิ่มขึ้นของการแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจของเรา”
เพื่อส่งเสริมการค้าระหว่างสองประเทศให้เติบโตยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อวานนี้ (29 พฤษภาคม 2568) หอการค้านานาชาติดูไบ (Dubai International Chamber) ภายใต้เครือข่ายหอการค้าดูไบ เปิดตัวสำนักงานแห่งใหม่เพื่อสนับสนุนการขยายธุรกิจจากประเทศไทยไปยังดูไบ และส่งเสริมการลงทุนระหว่างสองประเทศ ฯพณฯ มูฮัมหมัด อาลี รอชีด ลูตาห์ กล่าวถึงบทบาทของสำนักงานหอการค้านานาชาติดูไบ
“สำนักงานจะช่วยตอบคำถามที่จำเป็นต่อการตั้งธุรกิจในดูไบให้ภาคธุรกิจไทย ทั้งเกี่ยวกับการลงทุนในดูไบ และเมื่อไหร่ที่เขายังเดินหน้าต่อ เราจะช่วยกระบวนการจัดตั้งด้วยเช่นกัน และเราดำเนินการให้โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย เพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาสามารถเริ่มต้นในดูไบได้อย่างราบรื่น”
การเปิดสำนักงานหอการค้านานาชาติที่กรุงเทพฯ เป็นหอการค้านานาชาติแห่งที่ 36 ของ UAE จากเป้าหมายตั้งหอการค้า 50 แห่งภายในปี 2573 และประจวบเหมาะกับปี 2568 นี้ ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และไทยยังดำเนินมาครบรอบ 50 ปีอีกด้วย ฯพณฯ อูเบด ซะอีด อูเบด บินฏอริช อัลฎอฮิรี เอกอัครราชทูตสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ประจำประเทศไทย กล่าวที่งานเปิดตัวสำนักงานหอการค้าฯ ถึงวาระครบรอบความสัมพันธ์ไทย-ดูไบ และอนาคตระหว่างสองชาติ
“ขณะที่เราร่วมเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 50 ปีทองนี้ เราไม่ได้เพียงย้อนมองดูห้าทศวรรษที่เราร่วมมือกันแน่นแฟ้นเท่านั้น แต่เรายังมองไปข้างหน้าด้วยความมั่นใจและวิสัยทัศน์ว่า อีก 50 ปีข้างหน้าจะยิ่งเต็มเปี่ยมไปด้วยความเป็นไปได้แห่งความร่วมมือและความร่วมมือร่วมกัน”
ดูไบเป็นตลาดที่มีศักยภาพรองรับการลงทุนมากด้วยปัจจัยหลายประการ รองประธานฝ่ายความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ หอการค้าดูไบ Salem Al Shamsi พาเราไปทำความรู้จักศักยภาพและเอกลักษณ์ของตลาดดูไบดังนี้
ปี 2024 ดูไบมีอัตราการเติบโตของ GDP อยู่ที่ 3.1% (ไตรมาส 1-3) และ UAE ยังเป็นประเทศที่มีสัดส่วนการส่งออกมากถึง 41% ของการส่งออกทั้งหมดในตะวันออกกลาง ซึ่งมีสมาชิกรวมถึง 23 ประเทศ นอกจากนี้ ภายในดูไบเองมีเขตปลอดภาษีถึง 27 แห่งที่ผู้ลงทุนสามารถเข้าไปตั้งธุรกิจได้
การทำธุรกิจในดูไบ ผู้ลงทุนยังจะได้รับประโยชน์จากข้อตกลงการค้าเสรีที่ UAE ลงนามไว้ อย่างกลุ่มความร่วมมืออ่าวอาหรับ (GCC) และข้อตกลง CEPA ซึ่ง 6 ฉบับมีผลบังคับใช้แล้ว
เริ่มจากที่ตั้งของ UAE ที่อยู่กึ่งกลางระหว่างโลกตะวันออกและตะวันตก จะบินไปทางไหนก็ใช้เวลาไม่มากจนเกินไปนัก ดูไบมีสายการบินหลักคือ Emirates และ flyDubai และมีเที่ยวบินให้บริการมากกว่า 250 เที่ยวบินต่อวันจากสนามบินนานาชาติดูไบ
ดูไบมี DP World เป็นบริษัทโลจิสติกส์หลัก เป็นเจ้าของท่าเรือมากกว่า 90 แห่งทั่วโลก นอกจากนี้ยังมี World Logistics Passport ซึ่งเป็นโครงการเพื่อลดความซับซ้อนในการดำเนินการทางการของดูไบ ดำเนินงานมาตั้งแต่ปี 2020 ช่วยให้การเคลื่อนย้ายสินค้าด่วนง่ายขึ้น และลดต้นทุนทางธุรการของการขนส่งสินค้าเหล่านี้
มีบริษัทข้ามชาติหลายเจ้าที่ใช้ WLP อาทิ Sony, Pfizer, Johnson & Johnson และอีกมาก
อ้างอิงจากคะแนนความสามารถในการแข่งขันของโลก โดย International Institute of Management Development (IMD) ปี 2024 ดูไบและ UAE ได้คะแนนที่โดดเด่นดังนี้
ด้วยประสิทธิภาพในด้านต่าง ๆ ที่มีตัวชี้วัดเป็นรูปธรรม การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในดูไบจึงเป็นเชิงบวก ดูไบได้เงินทุนจากต่างชาติ 14.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และ 5 ประเทศผู้ลงทุนหลักในดูไบคือ อินเดีย (21.5%) สหรัฐอเมริกา (13.7%) ฝรั่งเศส (11%) สหราชอาณาจักร (10%) และสวิตเซอร์แลนด์ (6.9%)
อุตสาหกรรมที่มีการลงทุนจากต่างชาติในดูไบมากที่สุดคือ บริการด้านธุรกิจ (19%) อาหารและเครื่องดื่ม (17%) บริการด้านซอฟต์แวร์และไอที (14%) สิ่งทอ (10%) และผลิตภัณฑ์ผู้บริโภค (8%)
ดูไบเป็นตลาดที่มีศักยภาพรอบด้าน แต่ในขณะเดียวกัน ธุรกิจจากดูไบก็มีความสนใจขยายตลาดออกนอกภูมิภาค และประเทศไทยเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่ภาคธุรกิจของดูไบสนใจ คุณ Salem Al Shamsi ให้ข้อมูลอุตสาหกรรมในไทยที่มีศักยภาพรองรับการลงทุนจากดูไบ
“ภาคส่วนหลักที่มีศักยภาพรับการลงทุนจากดูไบ ได้แก่ บริการให้เช่าและการเช่าแบบลีสซิ่ง พลังงานหมุนเวียน การโฆษณาและประชาสัมพันธ์ การต่อเรือ การบริการด้านการกระจายสินค้า และการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์”
นอกจากนี้ คุณฐนิตา ศิริทรัพย์ Senior Executive Investment Advisor, Thailand Board of Investment ยังกล่าวถึงโอกาสในการลงทุนในประเทศไทย ที่ภาคธุรกิจไทยในอุตสาหกรรมดังกล่าวอาจเตรียมพร้อม เพื่อรับการลงทุนที่อาจเพิ่มขึ้นได้
ปัจจุบัน ไทยได้ลงนามความตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) แล้วมากกว่า 17 ฉบับ กับ 22-24 ประเทศและเขตเศรษฐกิจ ไทยมีเขตเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เขตการค้าเสรีที่ใหญ่ที่สุดที่ไทยเข้าร่วมคือ RCEP ซึ่งครอบคลุมผู้บริโภคกว่า 2.3 พันล้านคน หรือประมาณ 30% ของประชากรโลก เพราะเหตุนี้ นานาชาติจึงใช้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตและส่งออกสินค้าและบริการ
ไทยมีนิคมอุตสาหกรรม 72 แห่งใน 17 จังหวัด อีกทั้งไทยยังมีภาคการเกษตรและอาหาร อุตสาหกรรมยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และไฟฟ้า เคมีภัณฑ์ และปิโตรเคมีที่เข้มแข็ง เมื่อไม่นานมานี้ มีบริษัทต่างชาติเข้ามาลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล อย่างดาต้าเซ็นเตอร์และบริการคลาวด์
BOI มีการให้บริการด้านวีซ่าและใบอนุญาตทำงานสำหรับผู้บริหาร ผู้เชี่ยวชาญ และช่างเทคนิคจากต่างประเทศ มีวีซ่าระยะยาวสำหรับ 4 กลุ่ม ได้แก่ บุคคลมั่งคั่งระดับโลก นักธุรกิจมั่งคั่งจากต่างประเทศ ผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ และผู้มีทักษะขั้นสูง ที่ครอบคลุมถึงคู่สมรสและครอบครัว
นอกจากการลงทุนจากไทยสู่ดูไบ ที่คุณอัลฎอฮิรี ระบุว่า ภาคการบริการและอาหารและเครื่องดื่ม (F&B) โดยเฉพาะการลงทุนในร้านอาหารไทยในดูไบ การลงทุนในโรงแรม จะมีความโดดเด่น ยังมีภาคส่วนที่มีศักยภาพและแนวโน้มที่ดีในอนาคต เช่น เศรษฐกิจดิจิทัล โดยเฉพาะด้านฟินเทค บล็อกเชน และเทคโนโลยีเกษตร (agritech) ซึ่งคุณอัลฎอฮิรีมองว่า เป็นโอกาสสำคัญของบริษัทไทย