เมื่อวานนี้ (15 พฤษภาคม 68) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ แสดงเจตจำนงอีกครั้งที่จะให้สหรัฐฯ เข้ายึดครองฉนวนกาซา โดยทรัมป์กล่าวในเวทีเสวนาด้านธุรกิจที่กาตาร์ว่า สหรัฐฯ ควรทำให้กาซากลายเป็นเขตเสรีภาพ พร้อมระบุว่า ตอนนี้ไม่มีอะไรเหลือให้รักษาแล้วในกาซา ซึ่งเป็นดินแดนปาเลสไตน์
ทรัมป์เคยเสนอแนวคิดนี้ครั้งแรกในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยระบุว่า สหรัฐฯ ควรเข้าไปพัฒนาฉนวนกาซาใหม่ และบังคับให้ชาวปาเลสไตน์อพยพไปที่อื่น ซึ่งก่อให้เกิดเสียงประณามจากนานาประเทศ ทั้งชาวปาเลสไตน์ ชาติอาหรับ และสหประชาชาติ โดยเห็นว่าแผนดังกล่าวอาจเข้าข่าย “การกวาดล้างเผ่าพันธุ์”
ในการพูดคุยกับเจ้าหน้าที่และผู้นำธุรกิจในกาตาร์ ซึ่งเป็นประเทศที่มีสำนักงานการเมืองของฮามาสตั้งอยู่ในกรุงโดฮามาหลายปี ทรัมป์กล่าวว่า เขามีแนวคิดเกี่ยวกับกาซาที่คิดว่าดีมาก นั่นคือการทำให้ที่นั่นเป็นเขตเสรีภาพ และให้สหรัฐฯ เข้าไปมีบทบาท เขายังบอกว่า ตนเองได้ดูภาพถ่ายทางอากาศ ที่แทบไม่เหลืออาคารใดตั้งอยู่เลย มันไม่ใช่ความพยายามรักษาสิ่งที่ยังมีอยู่ เพราะแทบไม่มีอะไรเหลือแล้ว ผู้คนอาศัยอยู่ใต้ซากปรักหักพังของอาคารที่ถล่ม ซึ่งไม่สามารถยอมรับได้ที่จะให้เป็นเช่นนั้น
ประชาชนในฉนวนกาซาราว 2.3 ล้านคน ส่วนใหญ่ต้องพลัดถิ่นภายในประเทศจากปฏิบัติการทางทหารของอิสราเอล ซึ่งคร่าชีวิตชาวปาเลสไตน์ไปเกือบ 53,000 คน และทำลายพื้นที่อยู่อาศัยส่วนใหญ่ นับตั้งแต่อิสราเอลเริ่มโจมตีหลังเหตุการณ์ฮามาสบุกโจมตีในเดือนตุลาคม 2023
ก่อนหน้านี้ ทรัมป์เคยกล่าวว่าอยากเปลี่ยนกาซาให้กลายเป็น “ริเวียร่าของตะวันออกกลาง” แต่แนวคิดของเขาถูกชาวปาเลสไตน์ต่อต้านอย่างรุนแรง โดยพวกเขาเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ Nakba เมื่อปี 1948 ซึ่งหมายถึง “ภัยพิบัติ” ที่ชาวปาเลสไตน์หลายแสนคนถูกขับไล่ออกจากบ้านของตนเองจากสงครามที่นำไปสู่การก่อตั้งรัฐอิสราเอล หลายคนกล่าวว่า พวกเขายอมอาศัยอยู่ในซากปรักหักพังของบ้านตนเอง ดีกว่าจะอพยพออกไป
ส่วนบาสเซ็ม นายิม เจ้าหน้าที่ของกลุ่มฮามาส กล่าวว่า ทรัมป์มีอิทธิพลเพียงพอที่จะยุติสงครามในกาซา และสนับสนุนการจัดตั้งรัฐปาเลสไตน์
แต่เขาก็ย้ำว่า กาซาเป็นส่วนหนึ่งของแผ่นดินปาเลสไตน์อย่างแยกไม่ออก ไม่ใช่อสังหาริมทรัพย์ที่นำออกมาขายตามท้องตลาด
Reuters