ไม่ต้องบินให้สูงอย่างใครเขา! ไทยแอร์เอเชีย เปิดประสบการณ์ขึ้นเครื่องแบบคาร์บอนต่ำ จำลองเที่ยวบินสีเขียวช่วยลดโลกร้อนภายในงาน Sustainability Expo 2025 หรือ SX2025
แม้การเดินทางโดยเครื่องบินจะรวดเร็วและสะดวกสบาย แต่ก็มาพร้อมกับ "คาร์บอนฟุตพรินท์" (Carbon Footprint) ที่เป็นปัญหาใหญ่และท้าทายที่สุดอย่างหนึ่งในการจัดการกับภาวะโลกร้อน การบินพาณิชย์เป็นอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว และมีส่วนในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ส่งผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศโลกอย่างชัดเจน
สายการบินไทยแอร์เอเชีย ตระหนักถึงปัญหาคาร์บอนฟุตพรินท์ จึงขอสานต่อภารกิจความยั่งยืน ภายในงาน Sustainability Expo 2025 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 โดยนำเสนอนิทรรศการ AirAsia’s Green Journey ที่ถ่ายทอดเส้นทางสู่การเดินทางอย่างยั่งยืน พร้อมแสดงถึงความมุ่งมั่นสู่เป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2050
สำหรับบูธปีนี้ตื่นตาตื่นใจเพราะมาในรูปแบบมินิมาร์ทสีแดงสดใส สะดุดตา GenZ โดย คุณจารุภา กัลยาณะธรรม Sustainability Manager Thai AirAsia ได้พาเราจำลองประสบการณ์การขึ้นเครื่องตั้งแต่ก้าวแรกจนถึงแลนดิ้ง เพื่อบอกเล่าถึงการเดินทางในรูปแบบใหม่ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่ขั้นตอนแรกจนถึงจุดหมายปลายทาง ผ่าน 4 ช่วงหลัก ได้แก่
เริ่มต้นด้วยการเช็กอินที่เคาน์เตอร์ ซึ่งจะมีพนักงานคอยต้อนรับเราเหมือนอยู่ในสนามบิน โดยขั้นแรกให้เราหยิบมือถือขึ้นมาสแกนเพื่อลงทะเบียนผู้โดยสาร จากนั้นจะได้รับบอร์ดดิ้งพาสแบบออนไลน์ ซึ่งนี้จะช่วยในเรื่องของการลดการใช้กระดาษ นอกจากนี้ยังสามารถสั่งอาหารก่อนขึ้นเครื่อง เพื่อที่พนักงานจะได้เตรียมอาหารให้พอดีกับความต้องการเพื่อลดปัญหาขยะอาหารหรือ food waste ซึ่งในปี 2024 ไทยแอร์เอเชียมียอดการสั่งจองอาหารล่วงหน้า 3.6 ล้านออร์เดอร์ ซึ่งสามารถช่วยลดขยะอาหารได้ถึง 3 แสนกิโลกรัม
แอร์เอเชียมีการเปลี่ยนเครื่องบินใหม่จากเดิมที่ใช้ Airbus A320 ก็เปลี่ยนมาใช้เครื่อง Airbus A321Neo ซึ่งเครื่องใหม่นี้จะปล่อยคาร์บอนน้อยลงถึง 24% นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติพิเศษคือ Sharklets ส่วนต่อขยายปีกที่มีลักษณะโค้งช่วยลดแรงต้านและเพิ่มประสิทธิภาพตามหลักอากาศพลศาสตร์ ลดการปล่อยคาร์บอนได้ 401 กิโลกรัมต่อหนึ่งเที่ยวบิน ส่วนที่นั่งก็เป็นแบบ Lightweight Seats ทำให้น้ำหนักเครื่องลดลงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง หลีกเลี่ยงคาร์บอนได้ 47 กิโลกรัมต่อหนึ่งเที่ยวบิน ซึ่งปี 2024 ที่ผ่านมา การบินแบบใช้เชื้อเพลิงน้อยและปล่อยคาร์บอนต่ำ สามารถลดการปล่อยคาร์บอนรวมแล้ว 41,294 ตันเลยทีเดียว โดยปัจจุบันมีเครื่อง A321Neo ให้บริการ 11 ลำ ซึ่งมีการตั้งเป้าว่าภายในปี 2035 จะมีเครื่องบินรุ่นนี้ให้บริการรวมทั้งสิ้น 358 ลำ
ไทยแอร์เอเชียเปลี่ยนจากบรรจุภัณฑ์พลาสติกใช้ครั้งเดียวมาเป็นบรรจุภัณฑ์ที่ย่อยสลายได้ ลดคาร์บอนได้ทั้งหมด 100 ตัน นอกจากนี้ มูลนิธิแอร์เอเชียร่วมมือกับผู้ลี้ภัยชาวอัฟกานิสถาน ในการนำเสื้อชูชีพที่หมดอายุมาแปรรูปเป็นเครื่องประดับไลฟ์สไตล์เพื่อส่งเสริมการนำกลับมาใช้ใหม่และสนับสนุนการดำรงชีวิตของพวกเขา โดยนับตั้งแต่ปี 2017 มีเสื้อชูชีพถูกนำมาแปรรูปแล้ว 4,839 ตัว เท่ากับว่ามีพลาสติกถูกนำไปใช้รวมทั้งสิ้น 967.8 กิโลกรัม
ไทยแอร์เอเชียยังมีระบบการจัดการของเสียอย่างมีความรับผิดชอบ โดยที่สนามบินดอนเมืองของเสียจากอาหารทั้งหมดจะถูกแยกประเภทเป็นวัสดุสำหรับรีไซเคิล เช่น พลาสติก อะลูมิเนียม และกระดาษ วัสดุรีไซเคิล จะถูกแปรรูปเป็นวัสดุใหม่ ส่วนอาหารที่เหลือทิ้ง และไม่สามารถรีไซเคิลได้ จะถูกแปรรูปเป็นอาหารสัตว์หรือเชื้อเพลิงอุตสาหกรรม ซึ่งในปี 2024 สามารถรีไซเคิลขยะที่ไม่เป็นอันตรายได้ 100% ที่สนามบินดอนเมือง ลดคาร์บอนได้ 549 ตัน เทียบเท่าการปลูกต้นโกงกาง 43,200 ต้น
เส้นทางการเดินทางสีเขียวยังครอบคลุมไปถึงหลังสิ้นสุดเที่ยวบิน โดยเน้นการท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบ ผ่านการสนับสนุนจากมูลนิธิแอร์เอเชียที่ช่วยพัฒนาชุมชนท้องถิ่น ส่งเสริมเศรษฐกิจ และสร้างความยั่งยืนให้กับการท่องเที่ยวผ่านโครงการ “Journey D” เริ่มต้นจาก 4 ชุมชน คือ ชุมชนผาหมี จังหวัดเชียงราย ชุมชนโคกเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ ชุมชนเกาะกลาง จังหวัดกระบี่ และชุมชนพรหมโลก จังหวัดนครศรีธรรมราช จนสามารถพัฒนาชุมชนท่องเที่ยวให้เติบโตได้อย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน
เรียกได้ว่าการจำลองประสบการณ์การบินผ่านบูธไทยแอร์เอเชียในงาน SX2025 ช่วยทำให้เกิดความประทับใจและเกิดความตระหนักรู้ในเรื่องของคาร์บอนฟุตพรินท์มากขึ้น ในยุคที่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นวาระเร่งด่วน การเดินทางและการท่องเที่ยวของเราก็ไม่สามารถเป็นเพียงกิจกรรมส่วนตัวได้อีกต่อไป ทุกกิโลเมตรที่เราเดินทางคือการสร้างคาร์บอนฟุตพรินท์ที่ส่งผลต่อโลก การเดินทางแบบคาร์บอนฟุตพริ้นท์ต่ำจึงเป็นการลงทุนเพื่ออนาคตของโลก การตัดสินใจเล็กๆ น้อยๆ ของนักเดินทางแต่ละคน ล้วนเป็นจิ๊กซอว์สำคัญที่ประกอบกันเป็นความยั่งยืนขนาดใหญ่ที่จะส่งต่อไปให้กับเจนเนอเรชั่นต่อไปเพื่อให้โลกของเราอยู่อย่างยืนยาว