คลื่นความร้อน ไม่ใช่คำใหม่อีกต่อไป เพราะปรากฎการณ์ที่อากาศอุณหภูมิสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในระยะเวลาหนึ่ง กลายเป็นสิ่งที่เราพบได้บ่อยมากขึ้นในโลกที่สภาพอากาศแปรปรวน และดูเหมือนคลื่นความร้อนจะมีผลกระทบระยะยาวต่อสุขภาพ ที่นักวิทยาศาสตร์เรียกว่า “เร่งแก่”
คลื่นความร้อนมาพร้อมกับฤดูร้อน และผลลัพธ์จากคลื่นความร้อนที่เราคุ้นเคยกันคือสภาพอากาศสุดขั้ว อย่างฝนตกหนัก น้ำป่าไหลหลาก ดินถล่ม พื้นดินและพืชพรรณแห้งแล้ง เป็นเชื้อเพลิงหนึ่งของไฟป่าที่เกิดขึ้นต่อเนื่องที่ทวีปยุโรปตั้งแต่เดือนมิถุนายนที่ผ่านมา แต่นอกจากภัยธรรมชาติที่คร่าชีวิตผู้คน ผลด้านสุขภาพก็ไม่น้อยเช่นกัน
งานวิจัย Long-term impacts of heatwaves on accelerated ageing เผยแพร่เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2568 ทำการศึกษากับคนไต้หวัน 24,922 คนระหว่างปี 2008-2022 พบว่า คลื่นความร้อนมีผลเร่งความชรา งานวิจัยพบว่าตัวอย่างประชากรที่เผชิญความร้อนบ่อยครั้งและรุนแรงกว่านั้น “แก่กว่าอายุจริง”
งานวิจัยศึกษากลุ่มตัวอย่างผ่านการทดสอบทางการแพทย์หลายชนิด อย่างเช่น การอักเสบ, คอลเลสเตอรอล, การทะงานของอวัยวะต่าง ๆ , ความดันโลหิต และอื่น ๆ เพื่อตรวจหาอายุทางชีวภาพของผู้เข้าร่วม
ผลการศึกษาตลอดระยะเวลา 15 ปีพบว่า คลื่นความร้อนเป็นปัจจัยหนึ่งของโรคไม่ติดต่อ หรือ non-communicable disease เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด, เบาหวาน, ปัญหาสุขภาพจิต, และโรคหืด ซึ่งส่งผลให้อัตราการเสียชีวิตและความพิการสูงขึ้น
การเร่งอายุทางชีวภาพของร่างหายเป็นอีกผลระยะยาวที่เกิดขึ้นกับคนที่เผชิญความร้อนมาก งานวิจัยชิ้นนี้ศึกษาการเร่งอายุทางชีวภาพด้วยการคำนวณจากความแตกต่างระหว่างอายุชีวภาพ (biological age) และอายุจริงตามปฏิทิน (chronological age) บวกกับ
วิจัยพบว่า การเพิ่มขึ้นของการสัมผัสสะสมต่อคลื่นความร้อนใน 1 ช่วง มีความสัมพันธ์กับการเพิ่มขึ้นของ การเร่งอายุชีวภาพอยู่ที่ 0.023 ถึง 0.031 ปี หรือการเผชิญคลื่นความร้อนนาน 2 ปีจะเพิ่มอายุชีวภาพอย่างน้อย 8 วัน
งานวิจัยยังพบว่า กลุ่มผู้ใช้แรงงาน คนที่อยู่อาศัยในพื้นที่ห่างไกลที่มีเครื่องปรับอากาศน้อยมีแนวโน้มจะได้รับผลเสียด้านสุขภาพจากคลื่นความร้อนมากกว่า
แม้ว่างานวิจัยชิ้นนี้ จะไม่ได้อธิบายกระบวนการที่คลื่นความร้อนกนระทำต่อผลทางสุขภาพอย่างถี่ถ้วน แต่อ้างอิงตามงานวิจัยก่อนหน้า คาดว่า อุณหภูมิที่สูงขึ้นอาจทำให้ ความยาวเทโลเมียร์สั้นลง, รบกวนสมดุลรีดอกซ์ (redox homeostasis), ก่อให้เกิดความเสียหายต่อ DNA, และ นำไปสู่การแตกเป็นชิ้นส่วนของไมโตคอนเดรีย ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้เกิด ภาวะเซลล์ชราภาพ (cellular senescence) ได้
ที่มา: The Scientist, Nature, The Guardian