positioning

“เดอะคอฟฟี่คลับ” ฟื้นกำไรปีนี้ ผุดสาขาเล็ก-เจาะคนไทยต่อเนื่อง

29 มี.ค. 67
“เดอะคอฟฟี่คลับ” ฟื้นกำไรปีนี้ ผุดสาขาเล็ก-เจาะคนไทยต่อเนื่อง
ผู้จัดการรายวัน 360 – เดอะคอฟฟี่คลับ มั่นใจปีนี้เห็นกำไรชัดเจนแน่นอน พร้อมรายได้ที่โตขึ้น 15% ทะลุ 800 ล้านบาท ล้างขาดทุนหลายปีเพราะโควิด เดินหน้าผุดสาขาเล็ก 4 แห่งและสาขาใหญ่ 1 แห่ง เน้นเพิ่มลูกค้าคนไทยต่อเนื่อง พร้อมออกเมนูอาหารเครื่องดื่มใหม่รับซัมเมอร์
นางสาวนงชนก สถานนนนท์ ผู้จัดการทั่วไป เดอะ คอฟฟี่ คลับ ภายใต้การดำเนินการของ บริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปี2567นี้ จะเป็นปีที่เดอะคอฟฟี่คลับจะกลับมามีกำไรอย่างชัดเจนในรอบ 5 ปี หลังจากช่วงก่อนหน้านี้โดยเฉพาะตั้งแต่ช่วงเกิดสถานการณ์โควิด -19 ระบาดหนักเป็นต้นมา ประสบภาวะขาดทุนมาตลอด ไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท ทำให้่้ต้องทยอยปิดบางสาขา ปรับกลยุทธ์ใหม่ ปรับแผนการตลาด จนทำให้ขาดทุนน้อยลงเหลือแค่ 30 กว่าล้านบาท และล่าสุดปีที่แล้วเริ่มมีกำไรเล็กน้อยแล้ว โดยปีนี้ตั้งเป้าหมายที่ทำรายได้รวมประมาณ 800 ล้านบาท เติบโตจากปีที่แล้ว 15% ที่ทำได้ประมาณ 700 ล้านบาท

สำหรับแผนธุรกิจของเดอะคอฟฟี่คลับในปีนี้ วางงบลงทุนรวมไว้่ที่ 30 ล้านบาทในกาาขยายสาขาใหม่ โดยจะเปิดร้านแบบขนาดใหญ่พื้นที่เฉลี่ย 180-200 ตารางเมตร ลงทุน 8-10 ล้านบาท ประมาณ 1 สาขา เน้นเมืองท่องเที่ยว และร้านขนาดเล็กแบบคาเฟ่ พื้นที่่เฉลี่ย 70 – 100 ตารางเมตร ลงทุนสาขาละ 3-5 ล้านบาท เน้นเปิดในกรุงเทพฯ ซึ่งต้นปีนี้เปิดไปแล้วที่อาคารเดอะปาร์ค คลองเตย ปัจจุบันบริษัทมีร้านเปิดบริการรวมกว่า 40 สาขา แล้วนับเฉพาะสาขาที่บริหารโดยบริษัท ( ในไทย 39 สาขา และในต่างประเทศ 1 สาขา) และคาดว่าภายในสิ้นปีนี้ 45 สาขาจะมีรวมเป็น 45 สาขา ขณะที่ปีที่แล้วเปิดสาขาใหม่ 4 สาขา คือ โบ๊ทลากูนภูเก็ต, โอลด์ทาวน์ ภูเก็ต, พาร์คสีลม และ สเตย์บริดจ์ทองหล่อ
รวมไปถึงการหันมาขยายกลุ่มลูกค้าคนไทยเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งเป็นการปรับตัวมาตั้งแต่ช่วงหลังโควิด ด้วยการปรับเมนู ปรับราคา และกลยุทธฺ์เพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมคนไทย เพื่อให้แบรนด์สามารถเจาะเข้าถึงคนไทยได้มากขึ้นและง่ายขึ้น ลดความเสี่่ยงในการพึ่งพาลูกค้าต่างชาติเป็นหลักเหมือนที่ผ่านมา เป้าหมายปีนี้ี่จะให้สัดส่วนลูกค้าคนไทยอยู่ที่ 40% จากปีที่แล้วอยู่ที่ 35% และคนต่างชาติ 60% จากปีที่แล้วอยู่ที่ 65% ส่วนเป้าหมายภายใน 5 ปีจากนี้ สัดส่วนลูกค้าจะให้เท่ากันที่ 50% ซึ่งในอดีตเป็นลูกค้าต่างชาติมากถึง 80% ซึ่งสังเกตุได้จากเดิมมักจะเปิดสาขาอยู่ตามเมืองท่องเที่ยวและสถานที่มีคนต่างชาติอยู่มากตามแนวรถไฟฟ้าบีทีเอส เป็นหลัก

อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่า ปริมาณการใช้จ่ายนั้นยังคงมีความแตกต่างกันอย่าเห็่นได้ชัด ถ้าเป็นลูกค้าคนไทยจะใช้จ่ายเฉลี่ย 280 บาทต่อบิล แต่คนต่างชาติใช้จ่ายเฉลี่ยอยู่ที่ 360 บาทต่อบิลขึ้นไป ซึ่งการปรับราคาลงมาและการเพิ่มเมนูใหม่ๆตลอดจนกลยุทธ์การตลาดต่างๆ จะช่วยทำให้สามารถขยายฐานลูกค้าคนไทยได้มากขึ้น
“ เดอะ คอฟฟี่ คลับ ตั้งเป้าตอกย้ำการเป็น Neighborhood Caf#233; สำหรับลูกค้าทุกคน เริ่มต้นด้วยการเปิดตัวเมนูอาหารและเครื่องดื่มใหม่ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของลูกค้า โดยเฉพาะช่วงเทศกาลสงกรานต์หรือช่วงหน้าร้อน ที่พบว่าอินไซด์ของผู้บริโภคส่วนใหญ่จะมีการวางแผนใช้เงินเพื่อบริโภคอาหารและเครื่องดื่มมากกว่าช่วงเวลาอื่น ๆ ของปี จึงพัฒนาเมนู Summer Faves ที่เป็นเน้นวัตถุดิบอาหารทะเลมาตอบโจทย์ดังกล่าว ประกอบด้วย ฟิช แอนด์ ดับเบิ้ลชิป (Fish amp; Double Chips) เนื้อปลาพอลล๊อกชิ้นใหญ่ทอด เสิร์ฟคู่กับ มันฝรั่งสองสไตล์ อย่าง เฟรนช์ฟรายส์ และ มันหวานฟรายส์ ทานคู่กับซอสทาร์ทาร์ หรือ ซอสมะเขือเทศ สลัดอะโวคาโดกุ้ง น้ำสลัดวาซาบิ (Avocado amp; prawn salad) สลัดอะโวคาโดและกุ้งที่อัดแน่นด้วยคุณประโยชน์มากมายจากผักหลากชนิด อาทิ โอ๊ค แรดิช มะเขือเทศเชอร์รี่ แตงกวา สาหร่ายวากาเมะ และ อะโวคาโด ราดด้วยน้ำสลัดซอสถั่วเหลืองวาซาบิ ที่ใส่วาซาบิในปริมาณที่เหมาะสม ทำให้ให้รสชาติกลมกล่อม ไม่เผ็ดจนเกินไป ทุกคนสามารถรับประทานทานได้ง่าย และเมนู ครัวซองกุ้ง ซอสฮันนี่มัสตาร์ดมายองเนส (Overload Prawns croissant) ครัวซองต์รสสัมผัสกรอบอร่อย อัดแน่นด้วยกุ้งเต็มคำ ราดซอสฮันนี่มัสตาร์ดมายองเนส ที่บีบมะนาวควบคู่จนได้ความอร่อยแบบลงตัว ด้านเมนูเครื่องดื่มดับร้อนต้อนรับช่วงซัมเมอร์ที่มีเทศกาลสำคัญอย่างเทศกาลสงกรานต์ ประกอบด้วย โมฮิโต้ ม๊อกเมล เฟรปเป้ (Mojito Crush Frappe) เครื่องดื่มที่ได้แรงบันดาลใจจาก โมฮิโต้ เครื่องดื่มยอดฮิตนำมาดัดแปลงเป็นรูปแบบปั่นแบบไม่ผสมแอลกอฮอล์ เครื่องดื่มจะได้ความหอมของกลิ่นมิ้นต์ ตัดด้วยรสเปรี้ยวจามะนาว และ พาฟโลวา เฟรปเป้ (Pavlova Frappe) เมนูได้รับแรงบันดาลใจมาจากของหวานประจำชาติออสเตรเลีย ที่มีส่วนผสมของเมอร์แรงก์ ปั่นคู่กับมะม่วง เสาวรส และ วานิลลา ที่ได้ทั้งความหวานจากมะม่วง ความเปรี้ยวจากเสวรส ความมันจากเมอร์แรงก์ เติมเต็มทั้งความอร่อยและสดชื่นได้ในเวลาเดียวกัน”

เดอะ คอฟฟี่ คลับ ให้ความสำคัญกับการขยายสาขาในทำเลที่มีศักยภาพที่เข้าถึงผู้บริโภคได้ง่ายยิ่งขึ้นทั้งในพื้นที่แหล่งย่านธุรกิจกรุงเทพฯ และจังหวัดท่องเที่ยวทั่วประเทศ เพื่อเพิ่มฐานลูกค้าใหม่ และมุ่งเน้นไปยังกลุ่มลูกค้าที่เป็นคนไทยมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่น คนวัยคนทำงาน ตลอดจนครอบครัว ไปพร้อมการให้ความสำคัญกับลูกค้าต่างชาติเช่นเดิม ผ่านลอยัลตีโปรแกรม เช่น การมอบโปรโมชันพิเศษสำหรับสมาชิกทุกระดับบนแอปพลิเคชัน The Coffee Club Thailand ไม่ว่าจะเป็นระดับ Gold, Silver และ Member ที่สามารถรับเครื่องดื่มฟรีได้เมื่อสั่งอาหารในรายการที่กำหนด การมอบโปรโมชันดับเบิ้ลพ้อยรับแต้มคูณสองเมื่อใช้บริการในช่วงเวลาที่กำหนด รวมถึงการมอบสิทธิพิเศษในการชิมเมนูใหม่สำหรับสมาชิก การทำระบบ Coffee Subscription สำหรับซื้อเครื่องดื่มชนิดใดก็ได้ที่ร่วมรายการในราคาแพคเกจสุดพิเศษ ตลอดจนการสะสมพอยท์เพื่อแลกรับส่วนลดเมนูอาหารเครื่องดื่มฟรี หรือสินค้าเอกซ์คลูซิฟ เช่น สิทธิพิเศษล่าสุด สมาชิกสามารถแลกแก้วน้ำ tumbler ฟรีได้ด้วยการใช้ 200 คะแนน ผ่านแอปพลิเคชัน THE COFFEE CLUB Thailand เป็นต้น ทั้งหมดนี้ถือเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์เพื่อส่งมอบความคุ้มค่าสูงสุดสำหรับผู้บริโภคที่เป็นสมาชิกโดยในปีที่ผ่านมาการทำลอยัลตีโปรแกรมดังกล่าว ช่วยเพิ่มจำนวนสมาชิกในระบบเป็นจำนวน 170,000 ราย และคาดว่ากลยุทธ์ดังกล่าวจะสามารถเพิ่มยอดสมาชิกในปี 2567 ได้รวมทั้งสิ้น 250,000 ราย
“ จากผลการดำเนินงานของธุรกิจร้าน เดอะ คอฟฟี่ คลับใน ปี 2566 ที่ผ่านมา ที่มีการเติบโตอยู่ที่ 32% เมื่อเทียบกับปี 2565 ซึ่งเป็นไปตามเป้าที่วางไว้ อันเป็นผลมาจากการดำเนินกลยุทธ์ทางการตลาดที่หลากหลายทั้งการตอบโจทย์ลูกค้าผ่านการพัฒนาเมนูใหม่ ๆ อาทิ เมนูชาไทยปังเย็น เฟรปเป้ เครื่องใหม่ที่พัฒนาจากอินไซด์คนไทยที่ปัจจุบันนิยมบริโภคชาไทยมากขึ้น การขยายฐานลูกค้าด้วยการมอบสิทธิพิเศษต่าง ๆ ผ่านระบบสะสมแต้ม และการขยายสาขาให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น ตลอดจนการดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม อาทิ การปรับใช้ Eco-Friendly Packaging แก้วกระดาษใส่เครื่องดื่มร้อน และแก้วไบโอผลิตขึ้นจากวัสดุธรรมชาติที่สามารถย่อยสลายได้ง่าย สำหรับใส่เครื่องดื่มเย็น การใช้ฝาแก้วแบบ Sip Lid ที่สามารถยกดื่มได้ไม่ต้องใช้หลอด ตลอดจนการให้ความสำคัญด้านสวัสดิภาพสัตว์ผ่านการใช้ไข่ไก่แบบ Cage Free Eggs ที่ผ่านวิธีการเลี้ยงแม่ไก่แบบปล่อยอิสระในโรงเรือนระบบปิด ที่สะอาด ปลอดภัย ช่วยให้แม่มีอิสระ อารมณ์ดี ทำให้ได้ไข่ไก่ที่มีสารอาหารครบถ้วน มาเป็นวัตถุดิบในการทำเมนูอาหารให้ลูกค้า เป็นต้น” นางสาวนงชนก กล่าว

Powered By : Positioning

advertisement

SPOTLIGHT