positioning

“บางจาก”พร้อมชน “ค้าปลีกน้ำมัน” ปิดดีล “เอสโซ่”เสริมแกร่งโรงกลั่นน้ำมัน-การตลาด

4 ก.ย. 66
“บางจาก”พร้อมชน “ค้าปลีกน้ำมัน”  ปิดดีล “เอสโซ่”เสริมแกร่งโรงกลั่นน้ำมัน-การตลาด
ปิดตำนานพี่เสือ “เอสโซ่” 129ปีในไทย ที่โบกมือลาตามค่ายน้ำมันข้ามชาติรายอื่นๆที่ได้ถอนการลงทุนไปก่อนหน้านี้ แต่กลับสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับบมจ.บางจาก คอร์ปอเรชั่น (BCP) ก้าวขึ้นสู่บริษัทที่มีกำลังการกลั่นน้ำมันเกือบ 300,000 บาร์เรลต่อวันสูงสุดในไทย และมีจำนวนสถานีบริการน้ำมันในสิ้นปีนี้รวม 2,200แห่ง ขยับขึ้นมาหายใจรดต้นคอกลุ่มปตท. พี่เบิ้มวงการพลังงานไทย

ทันทีที่บางจากฯชำระค่าหุ้นสามัญบมจ.เอสโซ่(ประเทศไทย)(ESSO)ตามสัญญาซื้อขายหุ้นของบริษัทระหว่างบางจาก ฯ และExxonMobil Asia Holdings Pte. Ltd. เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2566 ด้วยวงเงินรวม 2.26 หมื่นล้านบาท ส่งผลให้บางจากฯกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในเอสโซ่ด้วยสัดส่วนการถือหุ้น 65.99% หลังจากนี้ บางจากฯจะต้้งโต๊ะทำเทนเดอร์ ออฟเฟอร์ซื้อหุ้นESSOที่เหลือคืนจากรายย่อยอีก 34.01 % ในราคาหุ้นละ 9.8986 บาทเท่ากับราคาที่บางจากฯจ่ายให้กับ ExxonMobil Asia Holdings Pte. Ltd. โดยกำหนดระยะเวลาทำคำเสนอซื้อตั้งแต่วันที่ 8 กันยายน ถึง 12 ตุลาคม 2566 โดยบางจากฯประกาศชัดเจนว่าภายใน 1ปีนี้ไม่มีแผนเพิกถอนESSOออกจากตลาดหลักทรัพย์ฯ

ช่วงระยะเวลา 7-8เดือนหลังจากบางจากฯลงนามในสัญญาซื้อขายหุ้นESSOทั้งหมดที่ExxonMobil Asia Holdings Pte. Ltd. ถืออยู่ 65.99%เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2566 โดยมีเงื่อนไขการซื้อขายหุ้นESSOจะเกิดขึ้นต่อเมื่อได้รับความเห็นชอบจากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นกระทรวงพลังงาน และคณะกรรมการแข่งขันทางการค้า (กขค.) ทำให้“ชัยวัฒน์ โควาวิสารัช” บิ๊กบางจากฯ และทีมงานได้ร่วมประสานงานกับทุกฝ่ายจนปิดดีลสำเร็จลุล่วง มีการตั้งที่ปรึกษาเพื่อตีความ 6 เงื่อนไขที่กขค.กำหนดไว้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการห้ามมิให้บางจากฯเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นของหน่วยงานภาครัฐ เป็นระยะเวลา 5 ปี นับแต่วันที่รวมธุรกิจแล้วเสร็จ ฯลฯ ตลอดจนการจัดหาสินเชื่อเพื่อใช้ซื้อกิจการESSO โดยได้รับการสนับสนุนสินเชื่อระยะยาว 30เดือนจากธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) วงเงินไม่เกิน 32,000ล้านบาท มีการลงนามสัญญาเงินกู้ก่อนหน้าวันชำระเงินค่าหุ้นESSOให้กับExxonMobilเพียง 1วัน นับเป็นการปิดดีลประวัติศาสตร์ด้านพลังงานอย่างสมบูรณ์ บรรลุตามเป้าหมายที่บางจากฯประกาศไว้ว่าดีลซื้อESSOจะแล้วเสร็จภายในปลายปี2566

สำหรับแหล่งเงินทุนที่บางจากชำระค่าหุ้นESSO 65.99%ให้กับExxonMobil Asia Holdings ประมาณ 22,606 ล้านบาทเมื่อวันที่ 31 สิงหาคมที่ผ่านมา มาจากเงินทุนของบางจากเอง 17,000ล้านบาท และที่เหลือเป็นเงินกู้ยืมจากธนาคารกรุงเทพ 5,000 ล้านบาท ส่วนวงเงินในการทำเทนเดอร์ ออฟเฟอร์อีก 34.01%หรือเป็นวงเงินราว 11,652ล้านบาท มาจากเงินทุนบางจากและเงินกู้ธนาคารกรุงเทพ ทำให้อัตราหนี้สินต่อทุนบางจากอยู่ที่ 1.3 เท่า ซึ่งต่ำมาก เพราะบางจากใช้มีการใช้เงินทุนตัวเองในการซื้อหุ้นเอสโซ่ ซึ่งในปี2565บางจากฯมีกำไรที่เติบโตสูงสุดอยู่ที่ 12,575 ล้านบาท โตขึ้น65% ส่วนใหญ่มาจากธุรกิจโรงกลั่นและธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมของOKEAประเทศนอร์เวย์ที่ได้อานิสงส์จากราคาน้ำมันที่สูจ่อบันทึกกำไรพิเศษจากมูลค่าสินทรัพย์ESSO

เมื่อปิดดีลเอสโซ่เป็นที่เรียบร้อย คาดว่าบางจากฯจะมีกำไรพิเศษจากการซื้อกิจการ มาจากการตีมูลค่าที่ดิน 800 ไร่ และการ Synergyระหว่างบางจากฯกับESSO หลายพันล้านบาท ส่วนตัวเลขที่แน่ชัดทางบางจากฯอยู่ระหว่างการตีมูลค่าสินทรัพย์ที่ได้รับจากการโอนหุ้นESSO คาดว่าจะประกาศได้ภายในเร็วๆนี้ และหากมีกำไรพิเศษก็จะบันทึกรับรู้ฯในไตรมาส3/2566 ขณะเดียวกันค่าการกลั่น ( GRM )ในไตรมาส3/2566 ก็สูงขึ้น ช่วยหนุนกำไรให้บางจากฯสูงขึ้นด้วย ส่งผลให้ราคาหุ้นBCPดีดขึ้นมาทะลุ 40 บาทต่อหุ้นในวันที่ 30 สิงหาคม 2566 ก่อนที่จะถูกแรงเทขายทำกำไรออกมา กดราคาหุ้นBCPเมื่อวันที่ 1 กันยายน2566 ปิดตลาดอยู่ที่ 38.75บาทต่อหุ้น

อย่างไรก็ตาม ดีลเทกโอเวอร์เอสโซ่นี้ ทางExxonMobil คงเก็บธุรกิจน้ำมันหล่อลื่นสำเร็จรูปภายใต้ตรา
ExxonMobil และ OEM (ผู้ผลิตอุปกรณ์เดิม - Original Equipment Manufacturer)
(ธุรกิจน้ำมันหล่อลื่นสำเร็จรูป) และธุรกิจการตลาดเคมีภัณฑ์ภายใต้ตรา ExxonMobil ทีได้ยืนยันตั้งแต่แรกว่าจะจัดตั้งบริษัทใหม่เพื่อประกอบธุรกิจดังกล่าวในไทย

หากย้อนเวลากลับไปราว 10ปีกว่าก่อน ExxonMobil ส่งสัญญาณจะถอนการลงทุนธุรกิจน้ำมันไทย ครั้งนั้นมีกระแสข่าวว่าไทยออยล์สนใจที่จะเข้าซื้อโรงกลั่นเอสโซ่แต่ยังไม่ทันได้เริ่มก็แท้งไปเสียก่อนเหตุบริษัทแม่ คือปตท.ไม่เห็นด้วย จากนั้น ExxonMobil มีนโยบายลดงบการลงทุนต่างๆของเอสโซ่ โดยเฉพาะในการขยายสถานีบริการน้ำมันที่เอสโซ่เป็นผู้ลงทุนและบริหารเอง แต่ให้ดีลเลอร์เป็นผู้ลงทุนแทน ช่วงเวลานั้นทำให้เอสโซ่ต้องสูญเสียส่วนแบ่งการตลาดให้กับคู่แข่งเป็นเวลาหลายปี ก่อนที่บริษัทแม่จะมีนโยบายให้เอสโซ่กลับมาขยายการลงทุนอย่างจริงจังได้อีกครั้ง จนกระทั่ง บางจากฯมีความคิดที่จะขยายโรงกลั่นเพิ่มอีกโรงเมื่อ4ปีก่อน หลังจากโรงกลั่นน้ำมันพระโขนงเดินเครื่องจักรเต็มที่ไม่สามารถขยายเพิ่มได้อีก และยังช่วยลดความเสี่ยงหากโดนกระแสกดดันให้ต้องย้ายโรงกลั่นออกนอกเมือง จึงเป็นที่มาทำให้บางจากเจรจาตรงกับExxonMobil อย่างจริงจังเพื่อซื้อกิจการเอสโซ่ จนสามารถปิดดีลประวัติศาสตร์ในครั้งนี้
ปี67ยอดขายแตะ5แสนล.

นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทบางจากและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (BCP) กล่าวว่าจากการเข้าซื้อหุ้นESSOครั้งนี้ บางจากตั้งเป้ายอดขายในปี2567เติบโตขึ้นแตะ 500,000 ล้านบาท โตขึ้นจากปีนี้ที่มียอดขายรวมอยู่ที่ 380,000ล้านบาทเทียบกับปี2565 ที่บางจากฯมียอดขายรวม 312,202 ล้านบาท เท่ากับว่าบางจากจะใหญ่และเข้มแข็งขึ้น จึงมั่นใจว่าดีลนี้สามารถคืนทุนได้ไม่เกิน 5 ปี

โดยบางจากฯมีแผนปรับปรุงเพิ่มประสิทธิภาพโรงกลั่นบางจากศรีราชา(โรงกลั่นเอสโซ่)ให้เดินเครื่องจักรได้เต็มกำลังผลิตภายใน 1-2 ปีข้างหน้านี้ จากปัจจุบันที่ใช้กำลังการผลิตเพียง 75%ของกำลังการกลั่น 175,000บาร์เรลต่อวัน ซึ่งในอดีตโรงกลั่นบางจากพระโขนงก็เคยใช้กำลังการผลิตอยู่แค่ 75%แต่ปัจจุบันมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น 103%ของกำลังการกลั่น 120,000 บาร์เรลต่อวัน ทำให้บางจากมีปริมาณน้ำมันสำเร็จรูปเพื่อจำหน่ายเพิ่มมากขึ้นรองรับการขยายสถานีบริการน้ำมันที่เพิ่มขึ้นในอนาคต

โรงกลั่นน้ำมันบางจากทั้ง2แห่งได้มาตรฐานระดับโลก มีกำลังการกลั่นน้ำมันรวมเกือบ 300,000 บาร์เรลต่อวันสูงสุดในประเทศ ซึ่งเทคโนโลยีการกลั่นของเอสโซ่และบางจากมีความถนัดคนละด้าน โดยโรงกลั่นบางจากมีความเชี่ยวชาญในการผลิตดีเซล ส่วนโรงกลั่นเอสโซ่ถนัดในการผลิตเบนซิน จึงช่วยเติมเต็มศึ่งกันและกัน อีกทั้งช่วยลดการนำเข้าน้ำมันเบนซินพื้นฐานเพื่อผสมเอทานอลผลิตน้ำมันแก๊สโซฮอล์ (จีเบส)จากต่างประเทศจากเดิมบางจากต้องนำเข้าเฉลี่ยเดือนละ 80-90ล้านลิต รวมทั้งเพิ่มอำนาจต่อรองในการจัดหาและการขนส่งน้ำมันดิบร่วมกันทำให้ต้นทุนลดลง
การซื้อหุ้นESSO บางจากฯยังได้หุ้นในบริษัท แทปไลน์ จำกัด สัดส่วน 21% ช่วยเพิ่มช่องทางการขนส่งน้ำมันทางท่อไปยังภาคเหนือ ลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์จากการขนส่งน้ำมันทางรถ และมีหุ้นในบริษัทบริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BAFS )7% รวมทั้งได้น้ำมันดิบและสำเร็จรูปคงคลังอีก 7.4 ล้านบาร์เรล และที่ดินกรรมสิทธิ์อีก 800 ไร่

นอกจากนี้ บางจากฯยังได้โรงงานผลิตพาราไซลีนขนาด 500,000 ตัน ซึ่งเป็นโรงงานที่เอสโซ่ลงทุนเมื่อ10ปีก่อนด้วยเงินลงทุน 400-500 ล้านเหรียญสหรัฐ(ไม่ได้ถูกนำมาคำนวนราคาซื้อเอสโซ่) แต่ปัจจุบันโรงงานนี้ไม่ได้ดำเนินการผลิต เนื่องจากตลาดพาราไซลีนไม่ดี ดังนั้นบางจากจะพิจารณาว่าจะดำเนินการโรงงานดังกล่าวอย่างไรต่อไป

นายชัยวัฒน์ ย้ำว่า ดีลเทกโอเวอร์เอสโซ่ เป็นการซื้อสินทรัพย์ไม่ว่าจะเป็นโรงกลั่นน้ำมันขนาดกำลังการกลั่น 174,000 บาร์เรลต่อวัน เครือข่ายคลังน้ำมันทั้งลำปางและศรีราชา สถานีบริการน้ำมันเอสโซ่ทั่วประเทศ 832แห่ง รวมทั้งสัดส่วนการถือหุ้นในแทปไลน์และBAFS โดยไม่ได้ซื้อแบรนด์และสูตรน้ำมันของเอสโซ่เพราะบางจากมีสูตรน้ำมันที่มีคุณภาพตามมาตรฐานของกรมธุรกิจพลังงาน และเติมสารเพิ่มคุณภาพถึงสองชนิดในน้ำมันทุกประเภทด้วย รวมทั้งน้ำมันเกรดพรีเมียมทั้งแก๊สโซฮอล์และดีเซล ยังได้มาตรฐานยูโร 5 มีค่าออกเทนและซีเทนสูงกว่าค่ามาตรฐานของกรมธุรกิจพลังงาน ดังนั้นตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2566 เป็นต้นไปน้ำมันที่จำหน่ายในสถานีบริการเอสโซ่จะเริ่มทยอยเปลี่ยนเป็นน้ำมันสูตรบางจากฯจนครบทั้งหมดภายในสิ้นเดือนกันยายนนี้ โดยลูกค้าที่เติมน้ำมันผ่านสถานีบริการเอสโซ่ในช่วงเปลี่ยนผ่านระยะแรก สามารถสังเกตจากป้ายชื่อผลิตภัณฑ์ที่ตู้จ่าย หัวจ่ายและป้ายราคา ถ้าชื่อผลิตภัณฑ์เป็นของเอสโซ่ ก็จะยังเป็นน้ำมันสูตรของเอสโซ่ แต่ถ้าผลิตภัณฑ์เป็นชื่อบางจากฯ แสดงว่าเป็นน้ำมันสูตรของบางจากฯ แล้ว

สำหรับงบลงทุนบางจากฯ 5ปีนี้(2566-70)คงเป็นตัวเลขเดิมที่ 200,000 ล้านบาท ใช้ในธุรกิจโรงกลั่น(รวมดีลESSO)30% ธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม30% โครงการน้ำมันอากาศยาน ยั่งยืน 30% และที่เหลืออีก10%ลงทุนบริษัทย่อยอาทิ บีบีจีไอและบีซีพีจี
ลดเป้าขยายปั๊มเหลือปีละ40-50แห่ง

นายสมชัย เตชะวณิช ประธานเจ้าหน้าที่การตลาด กลุ่มธุรกิจการตลาด บมจ. บางจาก คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า การควบรวมเอสโซ่ ทำให้บางจากมีสถานีบริการน้ำมันเพิ่มเข้ามาในพอร์ตอีก 832 แห่ง ส่งผลให้สิ้นปีนี้บางจากจะมีสถานีบริการน้ำมันรวมทั้งสิ้น 2,200แห่ง มากเป็นอันดับ2 ของประเทศ และปีหน้าจะเพิ่มขึ้นเป็น 2,250แห่งครอบคลุมการให้บริการลูกค้าได้มากขึ้นโดยเฉพาะพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่บางจากมีจำนวนสถานีบริการน้ำมันค่อนข้างน้อย โดยเอสโซ่มีจำนวนสถานีบริการอยู่ในพื้นที่ภาคเหนือ 160 แห่ง ภาคตะวันออกเฉียงเหนืออีก 130 แห่ง ส่วนสถานีบริการน้ำมันเอสโซ่และบางจากที่ตั้งอยู่ในทำเลใกล้เคียงกันมีค่อนข้างน้อย จึงไม่มีปัญหาในการแย่งลูกค้ากัน แต่จะช่วยเสริมกันและกัน

สำหรับแผนการขยายสถานีบริการในปี2567 บางจากวางเป้าหมายการขยายสถานีบริการน้ำมันเพิ่มขึ้นอีก 40-50แห่งเท่านั้น ลดลงจากปกติที่เคยเพิ่มเฉลี่ยปีละ 70-80 แห่ง โดยบางจากจะรักษาการเพิ่มจำนวนสถานีบริการแค่ปีละ 40-50 แห่งเป็นเวลา2-3ปี เนื่องจากช่วง1-2ปีนี้จะให้ความสำคัญการเร่งปรับเปลี่ยนป้ายESSOเป็นป้ายบางจากให้ครบทั้งหมดภายใน2ปีนี้ตามเงื่อนไขที่ExxonMobil กำหนดเงื่อนไขเวลาไว้ โดยในสิ้นปีนี้ สถานีบริการเอสโซ่ทั้ง280แห่งที่เอสโซ่เป็นเจ้าของจะดำเนินการปรับปรุงและเปลี่ยนป้ายมาเป็นบางจาก โดยจะเริ่มที่ปั๊มน้ำมันแถวพระราม 4 เป็นที่แรกๆ

จากจำนวนสถานีบริการน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้บางจากมีส่วนแบ่งทางการตลาดน้ำมันขยับเพิ่มขึ้นทันทีจาก 16.3 % เป็น 30% ครองเป็นอันดับ2 รองจากบมจ.ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก(OR)ที่มีส่วนแบ่งการตลาดน้ำมันอยู่ที่ 40% ส่วนธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมัน อาทิ ร้านสะดวกซื้อ และร้านค้ากาแฟที่เช่าพื้นที่ภายในสถานีบริการเอสโซ่ ก็ยังดำเนินการได้ตามปกติโดยยึดสัญญาเดิมจนกว่าสัญญาจะสิ้นสุดลง แต่หากเป็นร้านสะดวกซื้อหรือร้านกาแฟที่เป็นเอสโซ่เป็นเจ้าของเอง ก็จะดำเนินการปรับเปลี่ยนป้ายภายใน2เดือน โดยอาจจะเปลี่ยนร้านสะดวกซื้อมาเป็นร้าน “เลมอน กรีน” และร้านกาแฟอินทนิล เป็นต้น

นายสมชัย กล่าวว่า บางจากเดินหน้าจะพบปะและร่วมทำเวิร์คชอปกับดีลเลอร์สถานีบริการน้ำมันเอสโซ่กว่า 500สาขาเพื่อเชิญชวนเปลี่ยนมาเป็นแบรนด์บางจากให้ได้ครบทั้งหมดภายใน 2ปีนี้ ยึดคำมั่นสัญญาที่ดีลเลอร์ทำไว้กับเอสโซ่ เชื่อว่าดีลเลอร์พร้อมที่จะเข้าร่วมเป็นครอบครัวเดียวกับบางจาก ไม่หนีไปซบค่ายน้ำมันอื่น

ที่ผ่านมา มีผู้สนใจลงทุนทำสถานีบริการน้ำมันแบรนด์บางจากเป็นจำนวนมาก ซึ่งแต่ละเดือนจะยื่นเสนอให้คณะกรรมการบางจากฯพิจารณาอนุมัติเฉลี่ยราว 7-10 ปั๊มต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปีแล้ว

สำหรับลูกค้าเอสโซ่ซึ่งเป็นสมาชิกบัตรเอสโซ่สไมลส์ยังสามารถสะสมคะแนนและแลกคะแนน
เอสโซ่สไมล์ได้อีก 1 ปีจนถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2567 ภายใต้บัตรเดิม หรือสามารถโอนคะแนนสะสมมาเป็นสมาชิกบางจากกรีนไมลส์ โดยจะได้รับคะแนนโบนัสพิเศษเพิ่ม 100 คะแนน หากทำการโอนย้ายคะแนนภายในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2566
ORผุดโมเดล “1ปั๊ม1อำเภอ”

การผนึกร่างระหว่างบางจากที่มีส่วนแบ่งตลาด 16.3 % กับเอสโซ่มีส่วนแบ่งตลาด 13.7% รวม 30%ทำให้ OR ไม่สามารถอยู่นิ่งได้อีกต่อไป ล่าสุด OR เปิดโมเดล “1ปั๊ม1อำเภอ” เพื่อรุกขยายสถานีบริการน้ำมันระดับอำเภอ เพื่อให้บริการเข้าถึงลูกค้าระดับชุมชน หลังพบว่าเกือบ 100อำเภอยังไม่มีสถานีบริการPTT Station ทำให้ORครองส่วนแบ่งการตลาดอันดับ1 ไว้

ทั้งนี้ OR วางเป้าหมายขยายสถานีบริการในปีนี้เพิ่มขึ้น 100 แห่งจากปีก่อนที่มีการขยายสถานีบริการเพิ่ม 80 สถานี โดยสถานีบริการชุมชนมีโมเดลเหมือนปั๊มมาตรฐานที่ร้านกาแฟอเมซอนและร้านสะดวกซื้อมีขนาดพื้นที่ไม่ใหญ่ ลดจำนวนหัวจ่ายน้ำมันลง ทำให้ลดเงินลงทุนลงราว30%จากการลงทุนปกติ 30-40ล้านบาท ทำให้ได้รับการตอบรับที่ดีจากชุมชนและมีผู้ที่สนใจยื่นลงทุนทำสถานีบริการชุมชนมากขึ้น

นับจากนี้ การแข่งขันธุรกิจค้าปลีกน้ำมันยังคงรุนแรง แม้ว่าจำนวนผู้เล่นรายใหญ่จะหายไปจากตลาด แต่ความจริงแล้วจำนวนสถานีบริการไม่ได้ลดลงมีแต่จะเพิ่มมากขึ้น ส่งผลดีต่อผู้บริโภคในการเลือกใช้บริการได้สะดวกและหลากหลายตอบสนองลูกค้าทุกระดับ

Powered By : Positioning

advertisement

SPOTLIGHT