การเงิน

หุ้น STARK อาจเสียหายแตะ 2หมื่นล้านบาท กูรูคาดอาจต้องเข้าแผนฟื้นฟู

2 มิ.ย. 66
หุ้น STARK อาจเสียหายแตะ 2หมื่นล้านบาท กูรูคาดอาจต้องเข้าแผนฟื้นฟู

หุ้น STARK หรือ บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด มหาชน กลายเป็นประเด็นร้อนที่สุดในสัปดาห์นี้ หลังจากกลับมาซื้อขายหุ้นได้วันแรก (1 มิ.ย.66) หุ้นร่วงหนักเกือบ 100%  จากราคาหุ้น 2.38 บาท ลดลงไปเหลือ อยู่ที่ 0.18 บาท/หุ้น ลดลงไป 92.44% ส่วนในวันที่ 2 มิ.ย.66 ปรับลงต่อไปแตะระดับต่ำสุดที่ 0.13 บาท/หุ้น และฟื้นตัวเล็กน้อยปิดตลาดที่ 0.22 บาท/หุ้น นี่คือ 2 วันแรกของการซื้อขาย หลังจากถูกแขวนห้ามซื้อขายมานาน 3 เดือน สาเหตุเพราะไม่สามารถนำส่งงบการเงินปี 2565 ได้ทันตามกำหนด แม้อาการหุ้นร่วงหนักเป็นสิ่งที่นักวิเคราะห์หลักทรัพย์คาดการณ์ไว้อยู่แล้ว  แต่ความรุนแรงมากขนาดนี้ทำให้มีการประเมิน ความเสียหายว่า อาจแตะ 20,000 ล้านบาทได้เลยทีเดียว  

เกิดอะไรขึ้นกับ STARK บริษัทที่ทำธุรกิจสายไฟฟ้า มีผลประกอบการย้อนหลังที่ดูมีแนวโน้มดีมีกำไร และจากเหตุการณ์ในสัปดาห์นี้จะส่งผลต่ออนาคตของ บริษัท สตาร์ค อย่างไร กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT  มีโอกาสพูดคุยกับผู้บริหารในวงการตลาดทุน ซึ่งได้ประเมินปัญหาและความน่าจะเป็นของ บริษัท สตาร์ค ไว้ดังนี้   

1.ความผิดปกติทางบัญชีในบัญชีลูกหนี้

ที่สันนิษฐานว่า อาจจะเกิดจากบัญชีลูกหนี้ของสตาร์ค ซึ่งหมายรวมถึงลูกหนี้การค้า อาจไม่ใช่บัญชีที่แท้จริง มูลค่าทางบัญชีอาจจะไม่ตรงตามที่ลงบันทึกไว้ทำให้ผู้สอบบัญชีไม่สามารถตรวจสอบถึงที่มาที่ไปได้ จึงอาจเป็นที่มาให้ไม่สามารถส่งงบการเงินปี 2565 ได้ทัน

2.บัญชีสินค้าคงค้างในช่วงที่ผ่านมา 3 ไตรมาสของปี 2565 

บัญชีดังกล่าวยังไม่สามารถตรวจสอบข้อเท็จจริงได้ ส่วนหนึ่งอาจจะเกิดจากสินค้าคงคลังอยู่ในต่างประเทศ อาจทำให้เกิดความยากลำบากในการตรวจสอบ หรือสินค้าคงคลังนั้นอาจไม่มีอยู่จริง 

3.บัญชีกระแสเงินสด

ที่ผ่านมา STARK เคยได้มีการเพิ่มทุนไปกว่า 5,000 ล้านบาท แต่ปัจจุบันยังไม่สามารถตรวจสอบได้ว่างเงินสดในมือเหลืออยู่เท่าไหร่

แหล่งข่าวท่านนี้คาดการณ์ว่า มูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ น่าจะอยู่ที่ไม่เกิน 20,000 ล้านบาท คำนวณจากมูลค่าทางบัญชีทั้ง 3 ข้างต้น  คือ บัญชีลูกหนี้ บัญชีสินค้าคงเหลือ และบัญชีเงินสด โดยแนวทางการแก้ไขปัญหาที่ดีที่สุดของ STARK และน่าจะมีโอกาสเกิดขึ้น คือ การเข้าแผนฟื้นฟูกิจการ โดยมีนักลงทุนรายอื่นมารับช่วงต่อ เช่น กลุ่มนักลงทุนที่สนใจอยากลงทุนในธุรกิจสายไฟฟ้า หรือซื้อกิจการเพื่อเอาไปตัดขาย หรือนักลงทุนที่เชื่อมั่นในธุรกิจ และอาจจะมีการแปลงหนี้เป็นทุนได้

อย่างไรก็ตามการประเมินดังกล่าว เป็นการประเมินเบื้องต้น ในกรณีที่มูลค่าความเสียหายไม่มาก มีความเป็นไปได้ว่าจะต่ำกว่า 6,000 ล้านบาท ซึ่งความเสียหายระดับนี้ อาจใช้แนวทางแก้ปัญหาด้วยการเพิ่มทุน และผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นผู้ซื้อเอง หรือร่วมกับพันธมิตร เป็นต้น 

อย่างไรก็ตามในวันที่ 16 มิ.ย. 2566 นี้ คงต้องรอดูว่า  STARK จะส่งงบการเงินปี2565 ได้ทันตามกำหนดหรือไม่ แต่ในระหว่างนี้สภาพของ STARK ก็ย้ำแย่เต็มที โดยล่าสุด บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ปรับลดอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ. สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น (STARK) ลงสู่ระดับ "C" จาก "BB-" อีกด้วย 

อดีตที่แสนหวานของ STARK 

STARK เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2562 ด้วยวิธีการที่เรียกว่า  Backdoor Listing นั่นคือ วิธีการเข้าตลาดหุ้นทางอ้อม ด้วยการให้อีกบริษัทหนึ่งที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหุ้นอยู่แล้ว เข้าซื้อสินทรัพย์หรือหุ้นของบริษัทที่ต้องการจะเข้าตลาด กรณีของ STARK  มีการทำ Backdoor Listing กับบริษัท สยามอินเตอร์มัลติมีเดีย จำกัด (มหาชน) หรือ SMM ทำธุรกิจสื่อและสิ่งพิมพ์   

ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย  STARK ทำธุรกิจ โดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) โดยมีบริษัทย่อยเป็นผู้ประกอบกิจการรายใหญ่ในการผลิตสายไฟฟ้าและสายเคเบิ้ล อีกทั้งยังมีประสบการณ์ในธุรกิจสายไฟฟ้าและสายเคเบิ้ลมามากกว่า 50 ปี นอกจากธุรกิจสายไฟฟ้าและสายเคเบิ้ล STARK ยังมีบริษัทย่อยที่ประกอบกิจการให้บริการด้านทรัพยากรบุคคล

ผลประกอบการย้อนหลัง

ปี 2563 รายได้รวม 16,917.68 ล้านบาท กำไรสุทธิ 1,608.66 ล้านบาท

ปี 2564 รายได้รวม 27,129.64 ล้านบาท กำไรสุทธิ 2,783.11 ล้านบาท

งวด 9 เดือนแรกปี 2565 รายได้รวม 21,877.25 ล้านบาท กำไรสุทธิ 2,216.47 ล้านบาท


ส่วนผู้ถือหุ้นใหญ่มีรายชื่อ ดังนี้  

 

1.นาย วนรัชต์ ตั้งคารวคุณ ถือหุ้นจำนวน 3,196,750,000 หุ้น  คิดเป็น  26.85%

2.CREDIT SUISSE AG, SINGAPORE BRANCH   ถือหุ้นจำนวน 2,602,064,700 หุ้นคิด 21.85%

3.Stark Investment Corporation Limited ถือหุ้นจำนวน 2,500,000,000 หุ้น คิดเป็น 21.00%

4.บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด ถือหุ้นจำนวน 304,109,065 หุ้น คิดเป็น 2.55%

5.กองทุนเปิด บัวหลวงหุ้นระยะยาว ถือหุ้นจำนวน  276,185,500 หุ้น คิดเป็น 2.32%

6.SOUTH EAST ASIA UK (TYPE C) NOMINEES LIMITED ถือหุ้นจำนวน  202,981,900 หุ้น คิดเป็น 1.70%

7.MR. Vonnarat Tangkaravakoon ถือหุ้นจำนวน 175,000,000 หุ้น คิดเป็น1.47%

8.นาย ณัฐภัทร ศุภนันตฤกษ์ ถือหุ้นจำนวน 167,153,919 หุ้น คิดเป็น 1.40%

9.นาย นเรศ งามอภิชน ถือหุ้นจำนวน  153,600,000 หุ้น คิดเป็น 1.29%

10.บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ถือหุ้นจำนวน 128,078,800 หุ้น คิดเป็น 1.08%

อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์หุ้น STARK ยังคงต้องรอความชัดเจน แต่ขณะเดียวกันก็มีหลายสัญญาณให้นักลงทุนได้ศึกษาในการลงทุนในหุ้นตัวใดตัวหนึ่งในตลาด เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายตามมาในอนาคต 

advertisement

Relate Post

SPOTLIGHT