ไลฟ์สไตล์

Smartwatch ทำอะไรได้มากกว่าที่คิด! ส่อง 8 ฟีเจอร์เด็ดด้านงาน-สุขภาพ

10 ก.ค. 66
Smartwatch ทำอะไรได้มากกว่าที่คิด! ส่อง 8 ฟีเจอร์เด็ดด้านงาน-สุขภาพ

‘Smartwatch’ นาฬิกาที่ทำอะไรได้มากกว่าแค่ดูเวลา อัดแน่นทั้งฟีเจอร์ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และเป็นตัวช่วยดูแลความเฮลตี้ของผู้ใช้ แต่คนส่วนใหญ่มักใช้เพียงฟีเจอร์นับเก้า นับอัตราการเต้นหัวใจ อ่านไลน์ ออกกำลังกายนิดๆ หน่อยๆ เท่านั้น

 

ไม่ว่าคุณจะเป็นสาวก Apple Watch, Galaxy Watch, Mi Watch, Amazfit หรือ Garmin มาลองดู ‘8 ฟีเจอร์เด็ด’ ทั้งฝั่งการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และช่วยเรื่องสุขภาพที่ Spotlight รวบรวมมาให้ดูกัน

 

Smart Watch Apple Galaxy



4 วิธีใช้ Smart Watch ช่วยยกระดับชีวิตทำงาน

 

1) หามือถือ!

 

แม้เป็นฟีเจอร์ที่ออกมาพักใหญ่ๆ แล้ว แต่หลายคนก็นึกไม่ถึง และไม่เคยใช้งาน สำหรับคนขี้ลืม วางโทรศัพท์ตรงไหน หายตรงนั้น ไม่ว่าจะเป็นหัวเตียง ห้องน้ำ ใต้ผ้าห่ม ฯลฯ ฟีเจอร์นี้ออกแบบมาเพื่อคุณ

ด้วยฟีเจอร์ ‘Find My Phone’ (ไอคอนรูป Smartphone) ซึ่งมักจะอยู่บนหน้ารวมแอปพลิเคชันของ Smart Watch เกือบทุกเจ้า พอกดที่ไอคอนนี้ โทรศัพท์ของคุณก็จะส่งเสียงริงโทน / สั่น ตามแต่ออปชั่นที่เลือกไว้ เป็นฟีเจอร์ง่ายๆ ที่ช่วยประหยัดเวลาควานหา หรือให้เพื่อนช่วยโทรให้

 

2) จดโน้ต ตอบแชทได้ทุกที่ ด้วยคำสั่งเสียง

 

สำหรับคนที่ไอเดียพุ่งพล่านตลอดเวลา แต่มือไม่ว่างมาหยิบมือถือ Smart Watch มีฟีเจอร์ที่ตอบโจทย์คุณได้คือ ‘การจดโน้ตด้วยเสียง’ ซึ่งนับวันจะแม่นยำขึ้นเรื่อยๆ เพียงเปิดแอปจดโน้ตแอปโปรด ไม่ว่าจะเป็น Keep (Google), Note (Apple), OneNote, Evernote เปิดโหมดพิมพ์ด้วยเสียง และพูดใส่นาฬิกา เท่านี้ไอเดียดีๆ ของคุณก็จะอยู่ในโน้ต และซิงค์กับแอปจดโน้ตในมือถือได้แล้ว

และไม่เพียงแต่จดโน้ตไว้ดูเองเท่านั้น หากแอปโน้ตสามารถเชื่อมต่อกับคนอื่นๆ ในทีม เช่น OneNote แล้ว ทีมของคุณก็สามารถเห็นโน้ตนั้นได้แบบทันทีเลย
 

3) ไม่พลาดทุกนัดสำคัญ ด้วยแอป ‘Calendar’

 

กี่ครั้งแล้วที่เราลืมนัดสำคัญ จากการไม่เห็นการแจ้งเตือน หรือนัดลูกค้าไว้ แต่ไม่ได้เอาลงแอปปฏิทิน? Smart Watch ช่วยลดโอกาสพลาดนัดได้ด้วยการนำการแจ้งเตือนมาไว้ที่เข้ามือของคุณ ให้คอยแจ้งเตือนนัดสำคัญแม้คุณไม่ได้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู

นอกจากนี้ แอปพลิเคชันปฏิทินบนข้อมือของคุณ ยังสามารถทำสร้างการแจ้งเตือนแบบคร่าวๆ ได้ด้วย (ปรับแต่งรายละเอียดต่อได้ที่แอปในโทรศัพท์) ไม่ต้องกลัวว่ารับปากไว้แล้วจะลืม

 
 
4) ไม่หลงทางเพราะมีแผนที่บนข้อมือ

 

แม้จะมีแอปแผนที่ในโทรศัพท์ แต่หลายครั้งก็มีสถานการณ์บังคับให้ใช้งานได้ไม่สะดวก เช่น ระหว่างคุยโทรศัพท์ถามทางแล้วลืมโทรศัพท์ไว้ที่บ้าน ปั่นจักรยาน หรือนั่งมอเตอร์ไซค์ แอปพลิเคชันแผนที่หลายเจ้า ย่อขนาดแผนที่และระบบนำทาง มาใส่ไว้ในข้อมือเรา แม้ไม่ได้เห็นแผนที่แบบเต็มๆ ตา แต่ก็สามารถช่วยใช้นำทางในจังหวะที่เราไม่สะดวกดูบนโทรศัพท์ได้

ในแต่ละค่าย Smart Watch ก็จะมีทั้งแอปพิลเคชั่นแผนที่ของตัวเอง และแอปแผนที่จากค่ายอื่นๆ ลองเลือกดูรูปแบบ หน้าตาที่คุณถนัดและง่ายต่อการใช้งานจริง เพราะบางแอปก็มีเพียงแค่ความบอกการนำทาง บางแอปก็ขึ้นแผนที่ขนาดย่อมเท่าที่หน้าปัดนาฬิกาจะแสดงผลได้มาให้ แล้วแต่ว่าใครจะชอบแบบไหน
 

Smart Watch ไม่เพียงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความสะดวกในการทำงานเท่านั้น แต่ยังมีฟีเจอร์ที่จะมาช่วยเราดูแลสุขภาพได้ครบวงจรมากขึ้นอีกด้วย นอกจากฟีเจอร์ตัวช่วยเรื่องการออกกำลังกาย ยังมี 4 ฟีเจอร์สุดเจ๋งเหล่านี้ที่หลายคนยังไม่รู้

 

SmartWatch Apple Galaxy

 

4 วิธีใช้ Smart Watch ทำให้สุขภาพดี

 

1) ใช้ Smart Watch ช่วยให้ร่างกายไม่ขาดน้ำ

 

สมัยนี้มีนวัตกรรมมากมายที่มาช่วยเตือนเรื่องการดื่มน้ำ ทั้งขวดน้ำขนาดใหญ่พิเศษที่มีขีดบอกระดับน้ำที่ควรดื่มให้ได้ต่อวัน กระติกน้ำอัจฉริยะที่สามารถวัดปริมาณน้ำที่ดื่มผ่านแอปได้ รวมถึง ‘แอปเตือนการดื่มน้ำ’ ในมือถือ ที่หลายเจ้ามีเวอร์ชั่นบน Smart Watch ให้ใช้ควบคู่กันด้วย

ในแอปกลุ่มนี้ คุณสามารถคำนวณปริมาณน้ำที่ต้องการต่อวันได้จากการใส่น้ำหนักร่างกายเข้าไป เลือกขนาดแก้วน้ำ/ขวดน้ำที่คุณดื่ม แอปพลิเคชั่นก็จะช่วยคำนวณว่าจะต้องดื่มน้ำเท่าใด และคอยแจ้งเตือนผ่าน Smartphone และ Smart Watch เผื่อให้คุณดื่มน้ำได้ตามเป้าที่ตั้งไว้ในแต่ละวัน

 

2) ติดตามคุณภาพนอนด้วย Smart Watch

 

การนอนหลับที่น้อยเกินไป หรือไม่มีคุณภาพ ก็อาจทำให้คุณตื่นมาแบบไม่ค่อยสดใสในเช้าวันถัดไปได้ Smart Watch หลายเจ้ามาพร้อมกับฟีเจอร์ที่จะช่วยมอนิเตอร์วงจรการนอนของคุณ ทั้งในระยะหลับตื้น หลับลึก หลับแบบ REM (Rapid Eye Movement หรือช่วงหลับฝัน เป็นช่วงที่ดวงตาเคลื่อนที่ไปมาอย่างรวดเร็ว อัตราการเต้นของหัวใจก็จะเร็วขึ้น และการหายใจจะไม่สม่ำเสมอ ส่งผลต่อความทรงจำ การเรียนรู้ถาวร และการสร้างจินตนาการ)

ซึ่งในแต่ละแบรนด์ อาจแบ่งช่วงของการนอนหลับต่างกันไป แต่การที่เราสามารถติดตามคุณภาพการนอนหลับในแต่ละคืนได้นั้น จะช่วยให้เราสามารถปรับเปลี่ยนอาหาร สภาพแวดล้อมของห้อง พฤติกรรมการนอน เพื่อให้การนอนแต่ละคืน ได้ประสิทธิภาพสูงสุด และเป็นการชาร์จแบตให้กับร่างกายได้อย่างเต็มที่ได้

 

3) ตอนนี้คุณเครียดแค่ไหน? Smart Watch บอกให้ได้

 

ฟังผิวเผินหลายคนอาจคิดว่าฟีเจอร์ช่วยวัดความเครียดของ Smart Watch แม่นแค่ไหน ไม่ได้มโนเอาเองใช่ไหม? จริงๆ แล้วการทำงานของฟีเจอร์วัดความเครียดนั้นมีหลักวิทยาศาสตร์รองรับ โดย 2 หลักการทำงานที่ Smart Watch เลือกใช้ก็คือ การใช้เซนเซอร์วัด ‘Electrodermal Activity’ หรือการเปลี่ยนแปลงของกระแสไฟฟ้าจากเหงื่อบนผิวหนัง โดยจะวัดร่วมกับอัตราการเต้นหัวใจ การนอน และการทำกิจกรรมต่าง และจะนำมาประมวลผลออกมาเป็นคะแนนความเครียด

อีกแบบหนึ่งใช้การวัด HRV (Heart Rate Variability) : วัดช่วงห่างระหว่างการเต้นของหัวใจแต่ละครั้ง ซึ่งจะสะท้อนถึงสภาวะร่างกาย ว่าอยู่ในโหมดความเครียดสูง (หัวใจเต้นถี่) หรือความเครียดต่ำ (หัวใจเต้นไม่ถี่)นั่นเอง การมีความเครียดสะสมเป็นเวลานาน อาจนำไปสู่ความผิดปกติต่างๆ เช่น นอนไม่หลับ, ลำไส้รั่ว, ต่อมหมวกไตล้า, โรคหัวใจ, กระวนกระวาย และอื่นๆ ได้

 

4) ตรวจวัดปริมาณออกซิเจนในเลือดแบบ Real Time ผ่าน นาฬิกาข้อมืออัจฉริยะ

 

หลายคนที่เคยติดเชื้อโควิด-19 แล้วคงทราบดีว่า การวัดปริมาณระดับออกซิเจนในเลือดเป็นตัวบ่งชี้หนึ่งที่ใช้ติดตามความรุนแรงของอาการจากโรคได้ และใน Smart Watch รุ่นใหม่ๆ ก็ได้ได้ใส่เซนเซอร์วัดความเข้มข้นของออกซิเจนมาไว้ที่ข้อมือของเราแล้ว (เลือดในหลอดเลือดที่มีปริมาณออกซิเจนต่างกัน จะตอบสนองต่อแสงต่างกัน) แม้ไม่ได้แม่นยำ 100% เหมือนอุปกรณ์การแพทย์ของโรงพยาบาล แต่ก็สามารถช่วยสังเกตความผิดปกติเบื้องต้นได้

โดยถ้าค่าออกซิเจนในเลือดต่ำ อาจเป็นสัญญาณเริ่มต้นของโรคเกี่ยวกับระบบไหลเวียนเลือด, หัวใจ, การทำงานของปอด, โรคเลือดจาง, ความผิดปกติของระบบประสาท หรือความผิดปกติของการนอนหลับ

 

 


 

นี่เป็นเพียง 8 ฟีเจอร์ที่น่าสนใจที่ ‘Smart Watch’ ที่อยู่บนข้อมือของเราสามารถทำได้ ในอนาคตแกดเจ็ตอื่นๆ ก็อาจผันตัวมาเป็นผู้ช่วยด้านสุขภาพและการทำงานของเรา อย่างเช่นข่าวล่าสุดที่เผยว่า Apple เตรียมเพิ่มฟีเจอร์ ‘วัดอุณหภูมิ’ ลงไปในหูฟัง AirPods Pro รุ่นใหม่ซึ่งจะแม่นยำกว่าการวัดอุณหภูมิจากข้อมือ และในอนาคต แกดเจ็ตต่างๆ อย่างแว่นตาอัจฉริยะ, แหวนอัจฉริยะ ฯลฯ คงมีอีกหลายฟีเจอร์ที่เราคาดไม่ถึงมาทำให้ชีวิตของเราง่ายแสนง่าย (หากเรามีกำลังจ่ายมากพอ)

 

แต่ก่อนจะไปตื่นเต้นกับแกดเจ็ตตัวใหม่ๆ อยากชวนทุกคนมาใช้แกดเจ็ตที่มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพสูงสุดกัยเสียก่อน เมื่อใช้ฟีเจอร์ครบแล้ว ถึงค่อยมองหาแกดเจ็ตใหม่ๆ มาทำให้การใช้ชีวิตของเรา ฉลาดล้ำขึ้นไปอีก

 


ที่มา : Samsung, Apple, Business News Daily, Amy Myers MD, The Messenger

 

advertisement

SPOTLIGHT