ไลฟ์สไตล์

คนไทย 8 ใน 10 "มีปัญหาสุขภาพจิต" วัยรุ่นเจน Z "โดดเดี่ยวที่สุด"

29 ก.ค. 65
คนไทย 8 ใน 10 "มีปัญหาสุขภาพจิต" วัยรุ่นเจน Z "โดดเดี่ยวที่สุด"

ผลสำรวจล่าสุดชี้ คนไทยประมาณ 8 ใน 10 กำลังมีปัญหาสุขภาพจิต "เครียด-นอนไม่หลับ-วิตกกังวล" ส่วน Gen Z คือกลุ่มวัยที่รู้สึกโดดเดี่ยวที่สุด

บริษัทวิจัยด้านการตลาดระดับโลก Mintel (มินเทล) ได้เปิดผลสำรวจล่าสุดในรายงาน Attitudes Towards Mental Health - Thai Consumer 2022 ชี้ว่า ผู้บริโภคชาวไทยประมาณ 8 ใน 10 ราย ต่างประสบปัญหาสุขภาพจิตในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา (ก่อนเดือนกุมภาพันธ์ 2565)
.
จากผลการสำรวจผู้ใช้อินเทอร์เน็ตชาวไทย 2,000 ราย อายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป พบว่า ปัญหาสุขภาพจิตที่พบ 3 อันดับแรกคือ    

  • ความเครียด (46%)
  • นอนไม่หลับ (32%)
  • วิตกกังวล (28%)

สภาพจิตใจของคนไทยที่ถดถอยลงนี้ ส่วนหนึ่งมาจากผลกระทบที่ยืดเยื้อของโควิด-19 ซึ่งส่งผลให้เกิดความหงุดหงิดและความรู้สึกท้อแท้ นอกจากนี้ยังพบว่า ผู้บริโภค "แต่ละเพศ" และ "แต่ละช่วงวัย" ต่างเผชิญกับความท้าทายด้านสุขภาพจิตที่แตกต่างกัน โดยแบ่งได้คร่าวๆ ดังนี้



Gen Z กลุ่มวัยที่รู้สึกโดดเดี่ยวที่สุด

เจน Z


ผลสำรวจพบว่า กลุ่มผู้บริโภคในวัยเจน Z ที่มีช่วงอายุระหว่าง 18-24 ปีนั้น เป็นกลุ่มที่รู้สึก "โดดเดี่ยวที่สุด" ถึง 38% เมื่อเทียบกับคนเจนอื่นๆ อาทิ กลุ่ม Millennials (เจน Y) ช่วงอายุ 32-40 ปี อยู่ที่ 26% และ Gen X ช่วงอายุ 41-56 อยู่ที่ 15%

โดยปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตของพวกเขา ได้แก่ การทำงาน/การเรียน (48%) แรงกดดันจากเพื่อน (33%) และโซเชียลมีเดีย (25%)

วิลาสิณี ศิริบูรณ์พิพัฒนา นักวิเคราะห์อาวุโสด้านการวิจัยไลฟ์สไตล์ ประจำ Mintel Reports Thailand กล่าวว่า ตามข้อมูลจากงานวิจัยพบว่า มากกว่า 1 ใน 3 ของผู้บริโภคชาวไทยที่มีอายุน้อย ยอมรับว่าพวกเขาขาดความมั่นใจในตนเอง และมีสภาวะทางจิตใจบางอย่าง เช่น การนับถือตนเองต่ำ อาการซึมเศร้า และความวิตกกังวล

สภาวะเหล่านี้เกิดจากการ "สร้างภาพชีวิตที่สมบูรณ์แบบบนโซเชียลมีเดีย" จากการได้เห็นบุคคลที่พวกเขาชื่นชอบ อินฟลูเอนเซอร์ หรือคนที่พวกเขารู้จักมีในสิ่งที่พวกเขาไม่มี ก่อให้เกิดความกดดันที่จะต้องใช้ชีวิตให้ได้ตามมาตรฐานที่ผู้อื่นวางไว้ แบรนด์ต่าง ๆ สามารถช่วยเหลือคนในช่วงวัยนี้ได้ ด้วยแคมเปญที่ผลักดันและส่งเสริมให้ผู้บริโภคเกิดความรู้สึกพึงพอใจในตนเอง



ผู้หญิงเครียดกว่าผู้ชาย

istock-1388094611

อาการหมดไฟ (Burn-out) เป็นภาวะที่พบได้บ่อยในมนุษย์งานทุกวันนี้ เมื่อทุกอย่างเร่งรีบ เคร่งเครียด และมีอะไรที่ต้องทำเยอะไปหมดโดยแทบไม่ได้พัก แต่รู้หรือไม่ว่า "ผู้หญิง" มีอาการหมดไฟ (ไม่ใช่หมดใจ) ได้มากกว่าผู้ชาย

ผลสำรวจพบว่า เกือบ 1 ใน 3 (31%) ของหญิงไทยที่มีอายุ 18-34 ปี กล่าวว่าพวกเขารู้สึกหมดไฟเมื่อเทียบกับผู้ชายในวัยเดียวกัน (17%) เพราะผู้หญิงต้องให้ความสำคัญกับหลายเรื่องพร้อมๆ กัน ทั้ง งาน/การศึกษา ความไม่แน่นอนในการวางแผนอนาคต และสถานการณ์/ความรับผิดชอบทางการเงิน จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อสุขภาพจิตของผู้บริโภคกลุ่มนี้

“ผู้หญิงอายุ 18-34 ปี มีแนวโน้มที่จะต้องรับมือและรับผิดชอบกับงานบ้าน สร้างความมั่นคงในหน้าที่การงาน และคำนึงถึงการแต่งงานใช้ชีวิตคู่ ตามที่ระบุไว้ในงานวิจัยฉบับใหม่ของเราเกี่ยวกับไลฟ์สไตล์ของผู้หญิง พวกเธอต้องการที่จะรักษาสมดุลในชีวิตและมีสุขภาพที่ดี ทั้งทางกายและทางใจ แบรนด์ต่าง ๆ สามารถวางผู้บริโภคกลุ่มนี้เป็นเป้าหมายได้ โดยเฉพาะกลุ่มผู้หญิงที่มีไลฟ์สไตล์ที่ยุ่งหรือวุ่นวายตลอดเวลา ด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์และการบริการที่จะช่วยบรรเทาความเครียดทางด้านจิตใจ และช่วยให้พวกเธอสามารถทำกิจกรรมเพื่อให้มีสุขภาพที่ดีได้” วิลาสิณี กล่าว



เรา "อดนอน" กันมากขึ้น เพราะแยกงานกับชีวิตส่วนตัวไม่ได้

การนอนหลับพักผ่อนมีผลต่อคนทุกช่วงอายุ และอาจเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ในชีวิตที่มีความตึงเครียดได้ โดยในช่วงวัยต่าง ๆ แล้ว ประมาณ 35% ของ Gen Z และ Millennial จะมีอาการนอนไม่หลับ ในขณะที่ Gen X อยู่ที่ 28% ซึ่งตรงกันข้ามกับสิ่งที่ผู้คนมักเชื่อกันว่า มักจะเป็นกลุ่มคนสูงวัยที่มีปัญหานอนไม่หลับ

ปัจจัยเหล่านี้อาจเกิดจากมาตรการการอยู่บ้านฝทำงานจากบ้าน (WFH) ทำให้ผู้คนไม่สามารถแยกชีวิตส่วนตัวกับชีวิตการทำงานหรือการเรียนออกจากกันได้อย่างชัดเจน จนทำให้เกิดความเครียดและนอนไม่หลับมากขึ้น เนื่องจากคนไทยมีปัญหาด้านการนอนหลับ แบรนด์ต่างๆ จึงสามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์หรือบริการที่สามารถตรวจจับรูปแบบการนอนและให้ประโยชน์ด้านสุขภาพอื่นๆ ได้



แบรนด์ต่างๆ จะเข้าหาผู้บริโภคอย่างไร

แม้คนไทยจำนวนมากขึ้นจะประสบปัญหาสุขภาพจิต แต่ผู้บริโภคยังคงไม่สามารถเข้าถึงบริการและข้อมูลด้านสุขภาพจิตได้ ซึ่งคนไทยกว่า 3 ใน 4 (76%) รู้สึกเห็นด้วยว่าควรจะมีการพูดคุยเรื่องสุขภาพจิตในพื้นที่สาธารณะให้มากขึ้นกว่าเมื่อก่อน

“เนื่องจากข้อจำกัดทางสังคมและความรู้สึกเชิงลบเกี่ยวกับสุขภาพจิต จึงเห็นได้ว่า ผู้บริโภคต่างมีความคาดหวังสูงจากแบรนด์ในแง่ของการที่แบรนด์เหล่านั้นจะเข้ามาช่วยเหลือในเรื่องของสุขภาพจิต เมื่อพิจารณาถึงความละเอียดอ่อนของภาวะสุขภาพจิต แบรนด์ต่าง ๆ จำเป็นต้องแสดงออกถึงความเห็นอกเห็นใจ และเข้าใจความเป็นไปทางด้านจิตใจของผู้บริโภคอย่างแท้จริง

ทั้งนี้ ด้วยความที่โซเชียลมีเดียมีความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ ผู้บริโภคกว่า 3 ใน 4 เห็นด้วยว่า ช่องทางดังกล่าวเป็นช่องทางที่เหมาะสมในการส่งเสริมผลิตภัณฑ์หรือบริการที่เล็งเห็นถึงคุณค่าทางด้านจิตใจ ด้วยเหตุนี้ แบรนด์ที่มุ่งเน้นการให้ความรู้ผู้บริโภค แบรนด์ที่เข้ามามีบทบาทในการช่วยขจัดปัญหาสุขภาพจิต และแบรนด์ที่ส่งเสริมให้ผู้คนเข้ารับความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ จะสามารถชนะใจผู้บริโภคได้” วิลาสิณีกล่าวทิ้งท้าย

advertisement

SPOTLIGHT