อินไซต์เศรษฐกิจ

Green Finance ทางรอดของเกษตรกรไทย สู่ความยั่งยืน ท่ามกลางวิกฤตโลกร้อน

26 พ.ค. 67
Green Finance ทางรอดของเกษตรกรไทย สู่ความยั่งยืน ท่ามกลางวิกฤตโลกร้อน

ภาคเกษตรและอาหารของไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่จากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ซึ่งส่งผลกระทบต่อผลผลิตและความเป็นอยู่ของเกษตรกรอย่างรุนแรง ในขณะเดียวกัน ภาคเกษตรเองก็เป็นแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่สำคัญ ทำให้สถานการณ์ยิ่งทวีความรุนแรง ท่ามกลางวิกฤตนี้ "การเงินสีเขียว" (Green Finance) จึงเป็นความหวังในการขับเคลื่อนภาคเกษตรสู่ความยั่งยืน ผ่านการลงทุนในเทคโนโลยีสะอาด พลังงานหมุนเวียน และการสนับสนุนเกษตรกร บทความนี้จะพาสำรวจ Green Finance ในภาคเกษตรทั้งไทยและระดับโลก เจาะลึกโอกาส ความท้าทาย พร้อมแนวทางปลดล็อกศักยภาพเกษตรไทย รับมือวิกฤต และสร้างระบบอาหารที่ยั่งยืน

Green Finance ทางรอดของเกษตรกรไทย สู่ความยั่งยืน ท่ามกลางวิกฤตโลกร้อน

Green Finance ทางรอดของเกษตรกรไทย สู่ความยั่งยืน ท่ามกลางวิกฤตโลกร้อน

ปัญหาเชิงโครงสร้างที่ฝังรากลึกในภาคเกษตรไทย เช่น การขาดแคลนเทคโนโลยี การเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่จำกัด และรายได้ที่ไม่แน่นอน ยิ่งทำให้เกษตรกรมีความเปราะบางมากขึ้นเมื่อต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนของสภาพภูมิอากาศ พวกเขาแทบไม่มีทางรับมือหรือปรับตัว แต่ในความมืดมิดยังมีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ นั่นคือ "การเงินสีเขียวเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน" หรือ Green Finance ซึ่งเป็นแนวคิดการลงทุนที่มุ่งเน้นการพัฒนาที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม Green Finance ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การลงทุนในพลังงานหมุนเวียนหรือเทคโนโลยีสะอาด แต่ยังครอบคลุมถึงการสนับสนุนเกษตรกรให้เข้าถึงเทคโนโลยีและวิธีการทำเกษตรที่ยั่งยืน

ตัวอย่างเช่น Green Finance สามารถช่วยให้เกษตรกรรายย่อยเข้าถึงเงินทุนดอกเบี้ยต่ำเพื่อนำไปลงทุนในระบบน้ำหยด ซึ่งช่วยประหยัดน้ำและลดการใช้พลังงาน หรืออาจเป็นการสนับสนุนให้เกษตรกรรวมกลุ่มกันเพื่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ใช้เอง ลดต้นทุนการผลิต และสร้างรายได้เสริมจากการขายไฟฟ้าส่วนเกิน

การเงินสีเขียว (Green Finance) กลไกขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างยั่งยืน

Green Finance ทางรอดของเกษตรกรไทย สู่ความยั่งยืน ท่ามกลางวิกฤตโลกร้อน

การเงินสีเขียว (Green Finance) หมายถึงการจัดสรรและระดมเงินทุนเพื่อวัตถุประสงค์ด้านสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยมีเป้าหมายในการส่งเสริมและพัฒนาสภาพแวดล้อมให้ดีขึ้นผ่านกลไกทางการเงินต่างๆ อาทิ การจัดหาเงินทุนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมให้แก่ภาคส่วนต่างๆ การสนับสนุนการลงทุนในเทคโนโลยีพลังงานสะอาดและเทคโนโลยีคาร์บอนต่ำ รวมถึงการจัดหาเงินทุนสำหรับเศรษฐกิจสีเขียวเพื่อส่งเสริมการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน

Green Finance ถือเป็นส่วนหนึ่งของ Sustainable Finance หรือการเงินเพื่อความยั่งยืน ซึ่งครอบคลุมประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social, and Governance: ESG) โดย Green Finance จะมุ่งเน้นเฉพาะประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ

Green Finance แบ่งออกเป็นหมวดย่อยต่างๆ ตามวัตถุประสงค์ ได้แก่

  • Climate Finance: การเงินเพื่อสนับสนุนกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทั้งในด้านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Mitigation) และการปรับตัวเพื่อรับมือกับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Adaptation)
  • Conservation Finance: การเงินเพื่อสนับสนุนการอนุรักษ์และการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน เช่น การอนุรักษ์ป่าไม้ แหล่งน้ำ และความหลากหลายทางชีวภาพ
  • Biodiversity Finance: การเงินเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์และฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของระบบนิเวศที่สมดุล

Green Finance มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและสังคมที่ยั่งยืน โดยเป็นเครื่องมือสำคัญในการระดมทุนเพื่อสนับสนุนโครงการและกิจกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตลอดจนส่งเสริมนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและบรรเทาปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

สถานการณ์การเงินสีเขียวในภาคเกษตร ภาพรวมและโอกาสมีมากขนาดไหน

แม้ว่าการเงินสีเขียว (Green Finance) จะได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางในปัจจุบัน แต่การเติบโตในภาคเกษตรยังคงอยู่ในระดับที่จำกัด เมื่อเปรียบเทียบกับภาคส่วนอื่นๆ ข้อมูลจากปี 2562/2563 ระบุว่า Climate Finance ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของ Green Finance ที่มุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มีมูลค่าเพียง 28.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในภาคเกษตรและอาหารทั่วโลก คิดเป็นสัดส่วนเพียง 4.3% ของมูลค่า Climate Finance ทั้งหมด นอกจากนี้ Climate Finance สำหรับผู้ประกอบการรายย่อยในภาคเกษตรมีสัดส่วนเพียง 0.8% เท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น หากพิจารณาเม็ดเงินลงทุน Climate Finance ต่อปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคเกษตร จะพบว่ามีเพียง 3.5 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 17.8 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน

อย่างไรก็ตาม งานวิจัยจากต่างประเทศชี้ให้เห็นว่าความต้องการ Climate Finance ในภาคเกษตรและอาหารมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงปี 2562-2573 โดยคาดว่าจะสูงกว่าระดับก่อนเกิด COVID-19 ถึง 7-44 เท่า แม้ว่าในปี 2564 ความต้องการ Climate Finance จะลดลงเนื่องจากผลกระทบของ COVID-19 แต่คาดว่าจะเป็นเพียงปัจจัยชั่วคราว

จากข้อมูลข้างต้น สะท้อนให้เห็นว่าการเงินสีเขียวในภาคเกษตรยังคงมีศักยภาพในการเติบโตอีกมาก และมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเร่งส่งเสริมการลงทุนในภาคส่วนนี้ เพื่อสนับสนุนให้เกษตรกรสามารถปรับตัวและรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ตลอดจนลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากภาคเกษตรได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ภาพรวมการเติบโตของ Green Finance ในภาคเกษตรและอาหารของไทย

Green Finance ทางรอดของเกษตรกรไทย สู่ความยั่งยืน ท่ามกลางวิกฤตโลกร้อน

สำหรับในภาคเกษตรและอาหารของไทยยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น โดยมีสัดส่วนเพียง 0.3% ของมูลค่า Green Finance ทั้งหมดในประเทศไทยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (2564-2566) ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มทั่วโลกที่ภาคเกษตรและอาหารได้รับการสนับสนุนด้าน Green Finance เพียงเล็กน้อย

อย่างไรก็ตาม ยังมีโอกาสและความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องผลักดัน Green Finance ในภาคส่วนนี้ให้เติบโต เนื่องจากภาคเกษตรไทยมีความเปราะบางต่อความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Risk) โดยเฉพาะเกษตรกรรายย่อยที่เป็นประชากรส่วนใหญ่ของภาคเกษตร ซึ่งมักประสบปัญหาในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนและเทคโนโลยีที่จำเป็นต่อการปรับตัวและรับมือกับความท้าทายด้านสภาพภูมิอากาศ

ข่าวดีคือ ปัจจุบันทั้งสถาบันการเงินในและต่างประเทศ รวมถึงหน่วยงานกำกับดูแลต่างๆ เริ่มตื่นตัวและให้ความสำคัญกับ Green Finance ในภาคเกษตรและอาหารมากขึ้น เช่น โครงการ CRAFT ของ Rabo Bank ที่มุ่งสนับสนุนเกษตรกรให้เข้าถึงเทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืน หรือแนวทางการเงินที่ยั่งยืนของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ส่งเสริมการลงทุนสีเขียวและโครงสร้างพื้นฐานที่ทนทานต่อสภาพภูมิอากาศ

ตัวอย่างโครงการ Green Finance ในไทยที่น่าสนใจ เช่น การออกหุ้นกู้เพื่อสิ่งแวดล้อมของบริษัท ศรีตรังโกลฟส์ และโครงการสินเชื่อเพื่อลด PM 2.5 ในอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายของธนาคารกรุงไทย ล้วนเป็นสัญญาณบวกที่บ่งชี้ถึงศักยภาพและโอกาสในการเติบโตของ Green Finance ในภาคเกษตรและอาหารของไทย

ด้วยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการเงิน Green Finance จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนภาคเกษตรและอาหารของไทยไปสู่ความยั่งยืน ลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และสร้างความมั่นคงทางอาหารให้กับประเทศในระยะยาว 

อุปสรรคสู่การเงินสีเขียวในภาคเกษตรและอาหาร กับความท้าทายที่ต้องก้าวผ่าน

แม้ว่า Green Finance จะเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนภาคเกษตรและอาหารไปสู่ความยั่งยืน แต่การดำเนินการยังคงเผชิญกับอุปสรรคและความท้าทายหลายประการ ดังนี้

  • ความไม่พร้อมของภาคเกษตรและอาหาร: ผู้ประกอบการในภาคเกษตรและอาหารส่วนใหญ่ยังขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการพัฒนาเกษตรกรรมอย่างยั่งยืน (Sustainable Agriculture) และผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับ Green Finance นอกจากนี้ ผู้ประกอบการรายย่อยและ SMEs ยังประสบปัญหาต้นทุนการผลิตที่สูง และขาดศักยภาพในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อปรับตัวและลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
  • ข้อจำกัดในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน: ผู้ประกอบการรายย่อยและ SMEs ในภาคเกษตรและอาหารยังคงประสบปัญหาในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน เนื่องจากขาดความรู้ความเข้าใจด้านข้อมูลทางการเงิน และขาดหลักประกันที่เพียงพอ อีกทั้งสถาบันการเงินส่วนใหญ่มักมุ่งเน้นการลงทุนในภาคพลังงานมากกว่าภาคเกษตร
  • ความต้องการเงินทุนจำนวนมาก: ความต้องการเงินทุนเพื่อการพัฒนาเกษตรกรรมอย่างยั่งยืนในกลุ่มเกษตรกรรายย่อยมีมูลค่าสูง โดยเฉพาะในภูมิภาคกำลังพัฒนา เช่น ละตินอเมริกา แอฟริกาใต้ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นภูมิภาคที่มีเกษตรกรรายย่อยจำนวนมาก แต่กลับได้รับการสนับสนุนทางการเงินไม่เพียงพอ
  • ความซับซ้อนของโครงการ: โครงการเกษตรกรรมอย่างยั่งยืนมักมีความซับซ้อนและมีความเสี่ยงสูงกว่าโครงการในภาคส่วนอื่น ทำให้สถาบันการเงินลังเลที่จะให้การสนับสนุนทางการเงิน
  • การขาดมาตรฐานและข้อมูล: ยังคงขาดมาตรฐานและข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับการวัดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมของโครงการเกษตรกรรมอย่างยั่งยืน ทำให้ยากต่อการประเมินความคุ้มค่าและความเสี่ยงของโครงการ

โดย The Initiative for Smallholder Finance ชี้ว่า ความต้องการทาง การเงินของเกษตรกรรายย่อยในละตินอเมริกา แอฟริกาใต้ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีมูลค่าเฉลี่ยปีละประมาณ 210 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ

แนวทางและข้อเสนอแนะเชิงรุก สำหรับการ ขับเคลื่อน Green Finance ในภาคเกษตรและอาหาร

Green Finance ทางรอดของเกษตรกรไทย สู่ความยั่งยืน ท่ามกลางวิกฤตโลกร้อน

การผลักดัน Green Finance ในภาคเกษตรและอาหารให้ประสบความสำเร็จ จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือและการดำเนินงานอย่างเป็นระบบจากทุกภาคส่วน โดยมีแนวทางและข้อเสนอแนะสำคัญดังนี้

Government (ภาครัฐ) ภาครัฐและหน่วยงานกำกับดูแลมีบทบาทสำคัญในการผลักดัน Green Finance ผ่านการกำหนดนโยบายและมาตรการที่เอื้อต่อการลงทุนสีเขียว เช่น

  • จัดตั้งหน่วยงานกลาง: เพื่อทำหน้าที่ประสานงานและกำกับดูแลการดำเนินงานด้าน Green Finance ในภาคเกษตรและอาหาร เช่นเดียวกับ Monetary Authority of Singapore (MAS)
  • สร้างฐานข้อมูลกลาง: รวบรวมข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมและข้อมูลทางการเงินที่ยั่งยืน เพื่อให้ภาคส่วนต่างๆ สามารถเข้าถึงและนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น Data Hub ของ Deutsche Bundesbank
  • กำหนดมาตรฐานและเกณฑ์: เพื่อสร้างความชัดเจนและความน่าเชื่อถือให้กับผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินสีเขียว

Reward (แรงจูงใจ) การสร้างแรงจูงใจทั้งทางตรงและทางอ้อม จะช่วยกระตุ้นให้ภาคส่วนต่างๆ หันมาลงทุนใน Green Finance มากขึ้น เช่น

  • ให้เงินอุดหนุน: สนับสนุนดอกเบี้ยต่ำหรือเงินอุดหนุนสำหรับโครงการเกษตรกรรมอย่างยั่งยืน เช่น โครงการ Plano Safra ของบราซิล
  • ลดหย่อนภาษี: ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่ผู้ลงทุนใน Green Finance หรือผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน
  • สร้างตลาดคาร์บอน: เพื่อให้ผู้ประกอบการที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสามารถสร้างรายได้จากการขายคาร์บอนเครดิต

Educate (การศึกษา) การสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ Green Finance แก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วน เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เช่น

  • จัดตั้งศูนย์กลางความรู้: เพื่อเผยแพร่ข้อมูลและองค์ความรู้เกี่ยวกับ Green Finance และเกษตรกรรมอย่างยั่งยืน เช่น Singapore Green Finance Centre (SGFC)
  • จัดอบรมและสัมมนา: เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจและทักษะที่จำเป็นในการดำเนินโครงการเกษตรกรรมอย่างยั่งยืน
  • ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา: เพื่อสร้างองค์ความรู้ใหม่ๆ และนวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับ Green Finance ในภาคเกษตรและอาหาร

Engage (การมีส่วนร่วม) การส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อน Green Finance จะช่วยสร้างความเป็นเจ้าของและความยั่งยืนให้กับโครงการต่างๆ เช่น

  • จัดตั้งกลไกการมีส่วนร่วม: เช่น คณะกรรมการหรือคณะทำงานที่ประกอบด้วยผู้แทนจากภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการเงิน และภาคประชาสังคม
  • สร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ: เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และประสบการณ์ในการดำเนินงานด้าน Green Finance
  • Network (เครือข่าย): การสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง จะช่วยเสริมสร้างศักยภาพและขยายผลกระทบของ Green Finance เช่น
  • สร้างแพลตฟอร์ม: เพื่อเชื่อมโยงผู้ลงทุนกับโครงการเกษตรกรรมอย่างยั่งยืน
  • ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างสถาบันการเงิน: เพื่อร่วมกันพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินสีเขียว
  • สร้างความร่วมมือกับองค์กรระหว่างประเทศ: เพื่อเข้าถึงแหล่งเงินทุนและความรู้จากต่างประเทศ

ด้วยการดำเนินงานตามแนวทางและข้อเสนอแนะข้างต้นอย่างจริงจังและต่อเนื่อง Green Finance จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนภาคเกษตรและอาหารของไทยไปสู่ความยั่งยืนอย่างแท้จริง

advertisement

Relate Post

SPOTLIGHT