การล้มละลายของ Silicon Valley Bank อดีตแบงก์ที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 16 ของอเมริกา ส่งผลกระทบไปทั่วโลก ทำมูลค่าหุ้นธุรกิจการเงินทั่วโลกจากดัชนี MSCI World Financials Index และ MSCI EM Financials Index หายไปรวมประมาณ 4.65 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 16 ล้านล้านบาท ภายใน 3 วัน
จากการรายงานของ Bloomberg ในเช้าวันนี้ (14 มี.ค.) ค่าดัชนี MSCI Asia Pacific Financials Index หรือดัชนีรวมหุ้นบริษัทการเงินในภาคเอเชียแปซิฟิกลดลง 2.7% ไปอยู่ที่จุดต่ำสุดตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายนปีที่ผ่านมา ในขณะที่หุ้นธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นและอันดับ 6 ของโลกอย่าง Mitsubishi UFJ Financial Group ลดลง 8.3% และ ANZ Group ของออสเตรเลียลดไป 2.8%
ในส่วนของภาคการเงินไทย หุ้นของธนาคารไทยมีการปรับตัวลงเช่นกัน โดยในช่วงวันที่ 8 มี.ค. จนถึงวันที่ 13 มี.ค. มูลค่าหุ้นของธนาคารกสิกรไทยปรับลดลง 9.22%, ธนาคารกรุงเทพลดลง 3.47%, ธนาคารกรุงไทยลดลง 3.47%, SCB X หรือบริษัทแม่ของธนาคารไทยพาณิชย์ลดลง 5%, TMB ธนชาตลดลง 2.16% และ ธนาคารกรุงศรีอยุธยาลดลง 1.69%
นี่เกิดขึ้นจากการที่แบงก์ Silicon Valley เกิดปัญหา Bank Run หรือการที่มีลูกค้ามาถอนเงินจนธนาคารไม่สามารถหาเงินมาคืนลูกค้าได้ทันจนล้มละลาย หลังที่ข่าวขายพันธบัตรรัฐบาลในราคาขาดทุน และปัญหาสภาพคล่องทำให้ลูกค้าตื่นตระหนก และเร่งนำเงินออกจากธนาคารจนเกิดปัญหาดังกล่าวขึ้น
กรณีนี้นับได้ว่าเป็นการล้มละลายของธนาคารครั้งที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่ 2 ในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ ซึ่งสั่นคลอนความเชื่อมั่นของนักลงทุนในสถาบันการเงินทั่วโลก รวมไปถึงทำให้เกิดความกังวลว่าปัญหานี้อาจจะลุกลามไปทั่วโลกเหมือนในวิกฤตซับไพรม์ปี 2008 เพราะ SVB เป็นธนาคารที่มีธุรกิจและลูกค้าอยู่ในหลายทวีปและประเทศทั่วโลก รวมไปถึงเขตเศรษฐกิจเอเชียอย่าง จีน, ฮ่องกง และ อินเดีย
ในปัจจุบัน SVB มีพาร์ทเนอร์และลูกค้าในเอเชียหลายประเทศ โดยตัวอย่างบริษัท สถาบัน และธนาคารของเอเชียที่มีข้อมูลว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับ SVB ที่สำคัญก็คือ
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ของ Bloomberg กล่าวว่า ธนาคารในเอเชียไม่น่าจะได้รับผลกระทบอะไรมากนักเพราะลูกค้าในเอเชียยังคงมีความเชื่อมั่นในธนาคารอยู่ อีกทั้งยังมีสินทรัพย์หลากหลายในการดูแลทำให้มีความเสี่ยงที่ล้มละลายจากสินทรัพย์ประเภทใดประเภทหนึ่งในระดับที่ต่ำ
ทีมวิจัยของธนาคารกรุงศรีฯ มองว่า วิกฤตธนาคาร SVB สร้างความวิตกต่อภาคการเงินและเพิ่มความเสี่ยงที่อาจเกิดเป็น Domino Effects โดยรัฐบาลสหรัฐฯ ได้สั่งปิด SVB หลังจากเกิดปัญหาขาดแคลนสภาพคล่องอย่างหนัก ตามมาด้วยการปิดตัวลงของ Signature Bank ที่ได้รับผลกระทบจากการแห่ถอนเงินของผู้ฝากเป็นจำนวนมากท่ามกลางวิกฤตความเชื่อมั่น
ล่าสุด ทางรัฐบาลสหรัฐได้ออกมาตรการเรียกความเชื่อมั่นและคุ้มครองเงินฝากให้กับกลุ่มผู้ฝากเงินของ SVB เต็มจำนวน รวมถึงการที่เฟดประกาศจัดตั้งโครงการ Bank Term Funding Program ขนาด 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งจะช่วยให้ธนาคารสามารถนำพันธบัตรรัฐบาลหรือตราสารหนี้มาใช้เป็นหลักทรัพย์ในการแลกเงินได้เต็มจำนวน (ไม่ถูกกระทบจากอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น) เพื่อปกป้องธนาคารต่างๆ ไม่ให้เผชิญความเสี่ยงเดียวกับ SVB และป้องกันผลกระทบที่จะนำไปสู่การเกิด Domino Effects ในวงกว้าง
อย่างไรก็ตาม วิจัยกรุงศรีฯ ประเมินว่า สถานการณ์ดังกล่าวยังต้องได้รับการติดตามอย่างใกล้ชิดจากวิกฤตความเชื่อมั่นและความเสี่ยงที่อาจลุกลามไปสู่เศรษฐกิจในภาพรวม ซึ่งอาจส่งผลให้เฟดลดความแข็งกร้าวเรื่องทิศทางดอกเบี้ย โดยวิจัยกรุงศรีฯ คาดว่าเฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ย 25 basis points (จากคาดการณ์เดิมของตลาดที่ 50 basis points) สู่กรอบ 4.75-5.00% ในการประชุมสัปดาห์หน้า
สำหรับตลาดหุ้นไทยวันนี้ SET Index ปรับตัวลดลงมา 1.29% หรือ 20.37 จุดมาปิดตลาดช่วงเช้าที่ 1,552.70 จุด โดยเป็นแรงเทขายจากนักลงทุนต่างประเทศ ขายสุทธิ 2,193.40 ล้านบาท และเป็นขายสุทธิจากบริษัทหลักทรัพย์ 1,861.77 ล้านบาท แต่มีแรงซื้อกลับมาจากนักลงทุนรายย่อยภายในประเทศ 3,502.71 ล้านบาท และนักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 552.46 ล้านบาท
ที่มา: Bloomberg