ปี 2568 ยังไม่ถึงครึ่งหลังดี แต่เศรษฐกิจไทยดูเหมือนจะรับศึกหลายด้านชนิดที่ไม่ทันได้พักหายใจ ตั้งแต่ความวุ่นวายทางการเมือง เสถียรภาพรัฐบาลที่สั่นคลอน ไปจนถึงแรงกดดันจากต่างประเทศ เช่น สหรัฐฯ ที่ขู่ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าไทย ล่าสุดความไม่แน่นอนเหล่านี้ได้ก่อแรงกระเพื่อมรุนแรงถึงตลาดการเงินและความเชื่อมั่นของนักลงทุน
ดัชนีหุ้นไทยปีนี้ (YTD) ร่วงลงมาแล้วถึง 22.70% กลายเป็นหนึ่งในตลาดหุ้นที่ "ให้ผลตอบแทนแย่ที่สุดในโลก" ขณะที่นักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นไทยสุทธิกว่า 78,808 ล้านบาท แล้วในช่วงครึ่งปีแรก
ความเชื่อมั่นเริ่มสั่นคลอนอย่างจริงจัง เมื่อเสียงเรียกร้องให้ น.ส. แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ลาออก หลังจากมีคลิปเสียงสนทนาระหว่างผู้นำไทยกับอดีตผู้นำกัมพูชา ฮุน เซน รั่วไหลออกมา จนพรรคร่วมรัฐบาลสำคัญอย่างพรรคภูมิใจไทยประกาศถอนตัว ส่งผลให้รัฐบาลเหลือเสียงข้างมากแบบน้อยลง
เหตุการณ์นี้ไม่เพียงสั่นคลอนทางการเมือง แต่ยังส่งแรงกระแทกต่อภาคเศรษฐกิจโดยตรง เพราะรัฐบาลที่ไม่มีเสถียรภาพอาจส่งผลต่อการผลักดันงบประมาณรายจ่ายใหม่ รวมถึงนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่จำเป็นได้อย่างทันท่วงที
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยร่วงอีก 2.2% เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ปิดที่ 1,082.42 จุด ขณะที่ผู้ชุมนุมเริ่มรวมตัวเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออก โดยนักวิเคราะห์จากหลายสำนักระบุว่า ความผันผวนทางการเมืองเป็นตัวแปรหลักที่เร่งให้เงินทุนไหลออกจากประเทศ
“การเมืองในประเทศกลับมากระตุ้นความผันผวนรุนแรงในตลาดหุ้นอีกครั้ง” นริพร กลางเปรมจิตต์, นักวิเคราะห์ บล.ธนชาต ให้สัมภาษณ์ในบลูมเบิร์ก
นักลงทุนมีความกังวลต่อ บรรยากาศทางการเมือง ที่วันนี้(28 มิ.ย.68) มีการชุมนุมประท้วงที่บริเวณอนุสาวรีย์รีชัยสมรภูมิ มวลชนทยอยมารวมตัวกันบริเวณเกาะกลางตั้งแต่ช่วงสาย โดยมีกลุ่มรวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตย นำโดย นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายพิชิต ไชยมงคล แกนนำเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) ฯลฯ วัตถุประสงค์ของการรวมตัวครั้งนี้คือ การเรียกร้องให้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ลาออกจากตำแหน่ง และขอให้พรรคร่วมรัฐบาล ถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล ภายหลังจากกรณีคลิปหลุด
การชุนมุวันนี้จะเริ่มตั้งแต่ 10.00-21.00 น. โดยในช่วงเช้าจะเริ่มด้วยพิธีทางศาสนา ก่อนจะเริ่มเปิดเวทีปราศรัยในเวลา 12.00 น.ไปจนถึงช่วงปิดเวทีในเวลา 21.00 น.
สายตาของนักลงทุนต่างชาติ ความเสี่ยงทางการเมืองของไทยในขณะนี้ไม่ต่างจาก "เชื้อเพลิง" ที่เร่งให้ภาพเศรษฐกิจไทยที่เปราะบางอยู่แล้ว ดูยิ่งอ่อนไหวต่อปัจจัยลบ ไม่ว่าจะเป็นการบริโภคที่ซบเซา การท่องเที่ยวที่ยังไม่ฟื้นเต็มที่ และภัยคุกคามจากสงครามการค้าโลก
ดังนั้นเศรษฐกิจไทยในครึ่งหลังของปี 2568 กำลังเผชิญโจทย์ใหญ่คือ จะฟื้นความเชื่อมั่นได้อย่างไร ท่ามกลางการเมืองที่ยังปั่นป่วน และสายตาต่างชาติที่เริ่มหันหลัง แม้ไทยจะยังมีจุดแข็งอย่างพื้นฐานเศรษฐกิจที่ไม่เลวร้าย แต่หาก “ความแน่นอน” ไม่กลับคืนมาเร็ว ๆ นี้ ก็อาจต้องเตรียมใจว่า “เศรษฐกิไทยบาดเจ็บครั้งนี้อาจลึก และนานกว่าที่คิด”