ราคาน้ำมันผันผวนในวันจันทร์ หลังจากพุ่งขึ้นกว่า 7% เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา โดยเป็นผลจากการโจมตีทางทหารรอบใหม่ระหว่างอิสราเอลและอิหร่านในช่วงสุดสัปดาห์ ซึ่งจุดกระแสความกังวลว่าความขัดแย้งอาจลุกลามและส่งผลกระทบต่อการส่งออกน้ำมันจากตะวันออกกลางอย่างมีนัยสำคัญ
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์และเวสต์เท็กซัส อินเตอร์มีเดียต (WTI) ปรับขึ้นกว่า 4 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในช่วงแรก ก่อนจะอ่อนตัวลงบางส่วน ขณะที่ฟิวเจอร์สน้ำมันดิบเบรนท์ล่าสุดลดลง 30 เซนต์ หรือราว 0.4% มาอยู่ที่ 73.93 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ณ เวลา 08.16 GMT ส่วนฟิวเจอร์ส WTI ของสหรัฐ ลดลง 18 เซนต์ หรือ 0.3% มาอยู่ที่ 72.80 ดอลลาร์
เมื่อวันศุกร์ ทั้งสองเบนช์มาร์กปิดบวกกว่า 7% โดยในระหว่างวันราคาพุ่งขึ้นกว่า 13% แตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมกราคม
ความเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันได้รับแรงหนุนจากรายงานที่ระบุว่า อิสราเอลได้เปิดฉากโจมตีแหล่งก๊าซ South Pars ของอิหร่านเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ส่งผลให้เกิดการระเบิดและเพลิงไหม้ในโรงแปรรูปก๊าซตามข้อมูลจากสำนักข่าว Tasnim ของอิหร่าน
เหตุการณ์ดังกล่าวนำไปสู่การหยุดชะงักของการดำเนินงานในแพลตฟอร์มผลิตก๊าซ และสร้างความไม่แน่นอนต่ออุปทานพลังงานโลกในระดับที่มีนัยสำคัญ เพราะแม้ว่าก๊าซธรรมชาติส่วนใหญ่ของอิหร่านจะถูกใช้ภายในประเทศ แต่แหล่งนี้ยังผลิตคอนเดนเสต (condensate) ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถส่งออกและสร้างรายได้จากตลาดโลกได้โดยตรง
นอกจากนี้ แม้การโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านก๊าซของอิหร่านสร้างแรงกดดันต่อตลาด แต่ ความเสี่ยงสูงสุดในสายตาของนักลงทุนยังอยู่ที่ช่องแคบฮอร์มุซ (Strait of Hormuz) ซึ่งเป็นเส้นทางขนส่งน้ำมันราว 20% ของอุปทานโลก หากอิหร่านพยายามปิดหรือขัดขวางการเดินเรือผ่านจุดยุทธศาสตร์นี้ ราคาน้ำมันมีแนวโน้มพุ่งขึ้นอีกอย่างมีนัยสำคัญ
นักวิเคราะห์จำนวนมากเตือนว่า ความไม่แน่นอนที่เกี่ยวข้องกับปฏิกิริยาตอบโต้จากอิหร่าน รวมถึงศักยภาพในการเปิดฉากโจมตีเพิ่มเติมในภูมิภาค อาจสร้างแรงกระเพื่อมต่อตลาดพลังงานโลกในระยะสั้นถึงกลาง ขณะที่นักลงทุนและรัฐบาลต่างจับตาความเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิด
ประเด็นสำคัญที่ตลาดพลังงานกำลังจับตา คือความเป็นไปได้ที่ความขัดแย้งจะส่งผลกระทบต่อการเดินเรือผ่านช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งเป็นเส้นทางขนส่งน้ำมันราว 18–19 ล้านบาร์เรลต่อวัน หรือประมาณหนึ่งในห้าของอุปสงค์น้ำมันทั่วโลก
ขณะที่นักลงทุนยังเฝ้าระวังความเสี่ยงที่โครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานของอิหร่านอาจถูกโจมตี แต่ความวิตกต่อการปิดช่องแคบฮอร์มุซกลับเป็นปัจจัยที่อาจทำให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว นักวิเคราะห์โทชิทากะ ทาซาวะ จาก Fujitomi Securities ระบุ
ปัจจุบัน อิหร่านในฐานะสมาชิกกลุ่มโอเปก (OPEC) มีการผลิตน้ำมันราว 3.3 ล้านบาร์เรลต่อวัน และส่งออกน้ำมันและเชื้อเพลิงมากกว่า 2 ล้านบาร์เรลต่อวัน
นักวิเคราะห์ประเมินว่า กำลังการผลิตสำรองของกลุ่ม OPEC+ ในการชดเชยอุปทานที่ขาดหาย มีปริมาณใกล้เคียงกับระดับการผลิตของอิหร่าน
ริชาร์ด จอสวิก หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์น้ำมันระยะสั้นของ S&P Global Commodity Insights ให้ความเห็นว่า “หากการส่งออกน้ำมันดิบของอิหร่านหยุดชะงัก โรงกลั่นในจีนซึ่งเป็นผู้ซื้อหลัก จะต้องเร่งหาน้ำมันดิบชนิดอื่นจากประเทศตะวันออกกลางหรือจากรัสเซียแทน”
เขายังเสริมว่า “สถานการณ์นี้อาจทำให้อัตราค่าระวางเรือและเบี้ยประกันเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ส่วนต่างราคาน้ำมัน Brent–Dubai แคบลง และกระทบต่อกำไรของโรงกลั่น โดยเฉพาะในเอเชีย”
ขณะเดียวกัน ข้อมูลจากทางการจีนระบุว่า ปริมาณการกลั่นน้ำมันดิบของจีนในเดือนพฤษภาคมลดลง 1.8% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม เนื่องจากโรงกลั่นหลายแห่งอยู่ระหว่างการซ่อมบำรุง
การโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านการทหารและโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านโดยอิสราเอลเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ถือเป็นการยกระดับความขัดแย้งในตะวันออกกลางเข้าสู่ระดับที่ตลาดพลังงานโลกไม่อาจเพิกเฉย ส่งผลให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นกว่า 13% ในวันศุกร์ ก่อนจะปรับตัวลดลงในช่วงท้ายสัปดาห์ ท่ามกลางการเคลื่อนไหวของนักลงทุนที่เร่งเข้าหาสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำ
ในมุมมองของนักวิเคราะห์พลังงานหลายสำนัก การเปลี่ยนแปลงของราคาน้ำมันในขณะนี้ไม่ได้สะท้อนเพียงอุปสงค์-อุปทานเชิงพื้นฐานอีกต่อไป หากแต่กำลังถูกขับเคลื่อนโดย “ความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์” ที่ยากคาดเดาและไม่สามารถวัดได้ในเชิงปริมาณแบบเดิม
ING: ความเสี่ยงเชิงโครงสร้างของอิหร่านอาจเปลี่ยนตลาดจากล้นเป็นขาด
Warren Patterson หัวหน้ากลยุทธ์สินค้าโภคภัณฑ์แห่ง ING เน้นย้ำว่า หากอิหร่านสูญเสียกำลังการผลิตและส่งออกจากการโจมตีหรือการตอบโต้ในระดับที่กระทบโครงสร้างพื้นฐานขั้นต้น (upstream) และขั้นกลาง (midstream) จะมีความเสี่ยงที่ปริมาณส่งออกมากถึง 1.7 ล้านบาร์เรล/วันจะหายไปจากตลาดทันที
เขายังเตือนว่า หากสถานการณ์ไม่คลี่คลาย เบรนท์อาจพุ่งไปถึง $80 แต่คาดว่าราคาจะทรงตัวที่ระดับ $75 หากไม่มีความเสียหายเพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม หากความตึงเครียดลุกลามไปสู่การปิดช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งมีน้ำมันกว่า 14 ล้านบาร์เรล/วันไหลผ่าน อาจดันราคาน้ำมันสู่ระดับ $120 และในกรณีเลวร้ายที่สุด อาจทำลายสถิติเดิมใกล้ $150 จากปี 2008
Saxo Markets: ผลกระทบเชิงจิตวิทยาแรง แต่โครงสร้างอุปทานยังไม่พัง
Charu Chanana หัวหน้านักกลยุทธ์การลงทุนแห่ง Saxo Markets มองว่าแรงกระเพื่อมในตลาดตอนนี้คือ “การตอบสนองเชิงความเชื่อมั่น (sentiment-driven rally)” มากกว่าความเสียหายเชิงโครงสร้างต่ออุปทาน
“ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์อาจดันราคาน้ำมันไปถึง $80 ได้ในระยะสั้น แต่กำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นจาก OPEC+ จะเข้ามาสกัดราคาขาขึ้นในระยะกลางและระยะยาว โดยเฉพาะหากความตึงเครียดไม่ขยายตัวไปสู่ระดับสงครามเต็มรูปแบบ”
ทั้งนี้ Chanana เตือนว่า หากสถานการณ์เข้าสู่ worst-case เช่น การปิดช่องแคบฮอร์มุซหรือหยุดการส่งออกน้ำมันอิหร่าน 2.1 ล้านบาร์เรล/วันโดยสิ้นเชิง ตลาดจะเผชิญ “double shock” ทั้งในมิติของอุปทานและเงินเฟ้อโลก โดยเฉพาะในตลาดเกิดใหม่ที่เปราะบางด้านต้นทุนนำเข้า และจะทำให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นอย่างมาก
Rystad Energy: การตอบโต้ของอิหร่านคือปัจจัยชี้ชะตา
Mukesh Sahdev หัวหน้าฝ่ายตลาดน้ำมันแห่ง Rystad Energy ชี้ว่า การฟื้นตัวของการผลิตน้ำมันอิหร่านในช่วงหลัง จาก 2 ล้านเป็น 4 ล้านบาร์เรล/วันในเวลาไม่กี่ปี คือจุดอ่อนใหม่ของตลาด หากการผลิตน้ำมันของอิหร่านถูกกระทบ จะเกิดผลแบบ "Shock และ chain reaction" ทันที
“อิหร่านมี leverage สูงในการต่อรอง เพราะการสกัดส่งออกของตนเองสามารถกระทบจีน อินเดีย และตลาดเอเชียจำนวนมาก... หากอิหร่านเลือกบล็อกช่องแคบฮอร์มุซจริง จะเป็นผลสะเทือนระดับโครงสร้าง"
แม้ Rystad เชื่อว่าโอกาสเกิดสงครามเต็มรูปแบบยังต่ำ เพราะสหรัฐยังคงมุ่งเจรจาและแยกตัวจากการโจมตีครั้งนี้อย่างชัดเจน แต่นักวิเคราะห์ก็ยอมรับว่า ความเสี่ยงเชิงยุทธศาสตร์นั้นสูงขึ้นอย่างไม่เคยปรากฏในรอบหลายปี
Westpac: ตลาดอยู่ในโหมดความเสี่ยงสุดสัปดาห์ แต่ยังไม่ถึงขั้น panic
Robert Rennie จาก Westpac มองว่า แม้การโจมตีของอิสราเอลจะดูเหมือนมีเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ชัดเจน (เช่น ผู้นำ IRGC และนักวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์) แต่สิ่งที่ตลาดจะประเมินคือ "ระดับความรุนแรงของการตอบโต้ของอิหร่าน" โดยเฉพาะการตอบโต้ต่ออิสราเอลโดยตรง หรือการใช้กลุ่มพันธมิตรเช่น ฮิซบอลเลาะห์ หรือฮูตีในเยเมน
แต่ในภาพใหญ่ Westpac ยังคงมองว่า ราคาจะกลับเข้าสู่กรอบ $60–$65 ในไตรมาส 3 และอาจต่ำกว่า $60 หากไม่มีเหตุการณ์ซ้ำซ้อนเชิงภูมิรัฐศาสตร์ในไตรมาสสุดท้ายของปี
สำหรับนักวิเคราะห์รายอื่นๆ MST Marquee เตือนว่าขอบเขตการโจมตีของอิสราเอล “รุนแรงกว่าที่ตลาดคาดไว้” และหากอิหร่านตอบโต้ด้วยการทำลายโครงสร้างพื้นฐานพลังงาน ราคาน้ำมันจะเข้าสู่ระดับ “มีนัยสำคัญต่อการเมืองโลก”
Oil Brokerage รายงานว่า ความตึงเครียดส่งผลต่ออัตราค่าระวางเรือทันที โดยเฉพาะ VLCC ที่ประจำการในอ่าวเปอร์เซียมากถึง 15% ของกองเรือโลก และมีมากกว่า 20 ลำผ่านช่องแคบฮอร์มุซทุกวัน
Qisheng Futures คาดการณ์ upside ระยะสั้นของราคาน้ำมันที่ $3–$5 จากพื้นฐานปฏิกิริยาตลาดในรอบความขัดแย้งก่อน
SDIC Essence Futures แนะนำให้ใช้กลยุทธ์ซื้อ Call options ราคาต่ำเพื่อป้องกันความเสี่ยงระยะสั้น แล้วค่อยเปิดสถานะขายเมื่อสถานการณ์เริ่มคลี่คลาย