กองทุนวายุภักษ์ หนึ่ง ได้รับความสนใจอย่างล้นหลามจากนักลงทุนทั้งสถาบันและรายย่อย สะท้อนความเชื่อมั่นในศักยภาพและโอกาสการลงทุนที่กองทุนฯ มอบให้ แม้ไม่มีการรับประกันผลตอบแทน แต่ด้วยกลไกคุ้มครองและอัตราผลตอบแทนที่น่าดึงดูดใจ ทำให้กองทุนนี้เป็นที่ต้องการของตลาดอย่างมาก กระทรวงการคลังเชื่อมั่นว่ากองทุนฯ จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนตลาดทุนไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ได้อย่างมั่นใจ
คลังมั่นใจ! กองทุนวายุภักษ์ หนึ่ง มาแรง นักลงทุนสถาบัน-รายย่อยแห่สนใจ
นายธิบดี วัฒนกุล ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เปิดเผยว่า นักลงทุนทั้งสถาบันและรายย่อยแสดงความสนใจอย่างสูงในการจองซื้อหน่วยลงทุนของกองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง ซึ่งปัจจุบันมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิอยู่ที่ 349,481 ล้านบาท และมีแผนจะระดมทุนเพิ่มอีก 150,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นการเสนอขายให้แก่นักลงทุนรายย่อย 30,000 - 50,000 ล้านบาท และนักลงทุนสถาบัน 100,000 - 150,000 ล้านบาท
ความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญนี้สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อกองทุนฯ แม้ว่าจะไม่มีการรับประกันเงินลงทุนและผลตอบแทน แต่กองทุนฯ ก็มีกลไกในการคุ้มครองเงินลงทุนและผลตอบแทน รวมถึงมีอัตราผลตอบแทนที่น่าสนใจ กระทรวงการคลังมีความมั่นใจว่า กองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง จะเป็นทางเลือกการลงทุนที่ตอบโจทย์สำหรับประชาชน และมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาตลาดทุนของประเทศให้เติบโตอย่างยั่งยืน
"กองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง"เปิดโอกาสการลงทุนและเสริมสร้างความเชื่อมั่นตลาดทุน
เงินทุนที่ได้จากการระดมทุนจะถูกจัดสรรเพื่อการลงทุนในหลักทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ทั้งในลักษณะเชิงรุก (Active Investment) และเชิงรับ (Passive Investment) โดยเน้นการลงทุนในบริษัทที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง สร้างผลตอบแทนที่น่าพึงพอใจ มีความมั่นคงในระยะยาว ดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน และมีการกำกับดูแลกิจการที่ดี ซึ่งคาดว่าจะช่วยกระตุ้นการลงทุนและเสริมสร้างความเชื่อมั่นในตลาดทุนไทยให้แก่นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ นอกจากนี้ การระดมทุนในครั้งนี้ยังเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ผ่านหน่วยลงทุนประเภท ก. ของกองทุนฯ ซึ่งมาพร้อมกับกลไกคุ้มครองผลตอบแทนที่ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน
สำหรับขั้นตอนการเสนอขายหน่วยลงทุน รวมถึงการกำหนดกลไกคุ้มครองเงินลงทุนและผลตอบแทน ได้ดำเนินการอย่างถูกต้องครบถ้วนตามระเบียบและข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง โดยได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี ซึ่งมอบหมายให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ดำเนินการ และได้รับอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ข. ซึ่งประกอบด้วย กระทรวงการคลังและนักลงทุนภาครัฐ นอกจากนี้ บริษัทจัดการยังได้ยื่นแก้ไขโครงการจัดการกองทุนฯ ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยกลไกการคุ้มครองเงินลงทุนและผลตอบแทน (WaterFall) ยังคงสอดคล้องกับโครงการจัดการกองทุนฯ เดิม
เปิดจองซื้อหน่วยลงทุน (TFFIF) สำหรับนักลงทุนรายย่อย 16-20 ก.ย. นี้
นักลงทุนที่เลือกลงทุนในหน่วยลงทุนประเภท ก. จะได้รับผลตอบแทนขั้นต่ำที่ 3% ต่อปี แม้ว่าจะต่ำกว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรออมทรัพย์ของกระทรวงการคลังที่เสนอขายไปเมื่อเดือนสิงหาคม 2567 แต่ก็มีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ปรับเพิ่มขึ้นตามผลการดำเนินงานจริงของกองทุนฯ โดยมีเพดานสูงสุดอยู่ที่ 9% ต่อปี ในขณะเดียวกัน ผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ข. ซึ่งประกอบด้วยกระทรวงการคลังและนักลงทุนภาครัฐ จะได้รับผลตอบแทนตามผลการดำเนินงานจริงของกองทุนฯ รวมถึงส่วนที่เกิน 9% ต่อปีทั้งหมด โดยไม่มีเพดานจำกัด ซึ่งคาดว่าจะทำให้ผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ข. ยังคงได้รับผลตอบแทนที่น่าพึงพอใจและคุ้มค่าต่อการลงทุน สำหรับการจัดสรรผลตอบแทนในลักษณะนี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อให้สอดคล้องกับระดับความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนแต่ละกลุ่มสามารถยอมรับได้
สำหรับนักลงทุนรายย่อยในประเทศสามารถดำเนินการจองซื้อหน่วยลงทุนได้ระหว่างวันที่ 16 ถึง 20 กันยายน 2567 ผ่านบริษัทจัดการและผู้สนับสนุนการขายหน่วยลงทุนรวม 8 ราย ได้แก่ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน), บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) และธนาคารพาณิชย์ชั้นนำอีก 6 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ, ธนาคารกรุงไทย, ธนาคารกรุงศรีอยุธยา, ธนาคารกสิกรไทย, ธนาคารไทยพาณิชย์ และธนาคารออมสิน
กระบวนการจัดสรรหน่วยลงทุนจะดำเนินการภายใต้หลักเกณฑ์ Small Lot First เพื่อให้มั่นใจว่าผู้จองซื้อทุกรายมีโอกาสได้รับการจัดสรรอย่างเท่าเทียมกัน ในส่วนของนักลงทุนสถาบัน สามารถดำเนินการจองซื้อหน่วยลงทุนได้ในช่วงวันที่ 25 ถึง 27 กันยายน 2567 ทั้งนี้ คาดว่าหน่วยลงทุนประเภท ก. จะสามารถเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้ภายในช่วงต้นเดือนตุลาคม ศกนี้
ไทยพาณิชย์พร้อมเปิดจองซื้อกองทุนVAYU1วันที่ 16 – 20 ก.ย.นี้
ธนาคารไทยพาณิชย์ ในฐานะหนึ่งในตัวแทนการจำหน่ายหน่วยลงทุนกองทุนรวมวายุภักษ์หนึ่ง ประเภท ก.พร้อมเดินหน้าเปิดให้ประชาชนทั่วไปและนักลงทุนรายย่อย สามารถจองซื้อหน่วยลงทุนได้ระหว่างวันที่ 16 – 20 กันยายน 2567 ผ่านสาขาและแอปพลิเคชัน SCB Easy เงินลงทุนขั้นต่ำ 10,000 บาท ระยะเวลาการลงทุนเบื้องต้น 10 ปี วงเงินระดมทุนประมาณ 100,000 - 150,000 ล้านบาท
SCB มั่นใจเม็ดเงินลงทุนช่วยสร้างเสถียรภาพตลาดหุ้นไทยให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง
มั่นใจเม็ดเงินลงทุนจะช่วยกระตุ้นให้ตลาดหุ้นไทยกลับมาแข็งแกร่ง และมีเสถียรภาพอีกครั้ง ด้วยเงินลงทุนที่หมุนเวียนในตลาดระยะยาว กองทุนมีนโยบายจ่ายเงินปันผลอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง กำหนดผลตอบแทนขั้นต่ำไว้ที่ 3% ต่อปี และสูงสุดไม่เกิน 9% ต่อปี ทั้งนี้ กองทุนรวม ไม่มีผู้ค้ำประกันเงินลงทุนและไม่คุ้มครองเงินต้น แต่จะมีกลไกการบริหารความเสี่ยง เพื่อคุ้มครองผลตอบแทนและเงินลงทุนให้ได้ตามที่คาดหวังเหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการออมเงินไว้ใช้ในอนาคต และโอกาสรับผลตอบแทนสม่ำเสมอตลอดอายุของโครงการ
นายศรชัย สุเนต์ตา, CFA รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Investment Office and Product กลุ่มธุรกิจ Wealth ธนาคารไทยพาณิชย์ เผยว่า กองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง ประเภท ก. มีวัตถุประสงค์ เพื่อเป็นทางเลือกในการออมให้กับประชาชน และโอกาสรับผลตอบแทนที่สม่ำเสมอตลอดระยะเวลาเวลาลงทุน 10 ปี
โดยคาดว่าเม็ดเงินลงทุนในกองทุนนี้จะสามารถช่วยกระตุ้นให้ตลาดหุ้นไทยกลับมาแข็งแกร่งและมีเสถียรภาพเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนไทยและต่างประเทศ กลับเข้าลงทุนในตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง โดยธนาคารไทยพาณิชย์เป็นหนึ่งในตัวแทนการจำหน่ายหน่วยลงทุนกองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง ประเภท ก. นักลงทุนที่สนใจสามารถจองซื้อผ่านช่องทางสาขาของธนาคารทั่วประเทศ และแอปพลิเคชัน SCB EASY ทั้งนี้ หน่วยลงทุนจะจัดสรรด้วยวิธี Small Lot First หรือผู้จองซื้อที่จำนวนขั้นต่ำได้รับการจัดสรรก่อน
กองทุนวายุภักษ์ หนึ่ง มิได้เป็นเพียงโอกาสการลงทุนที่น่าสนใจเท่านั้น แต่ยังถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาตลาดทุนไทย สร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุน และเปิดประตูสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนของประเทศ