ข่าวเศรษฐกิจ

ยูโอบีเผยธุรกิจไทย 76% เชื่อศก.ไทยฟื้นปีนี้ มุ่งตีตลาดนอก จีนเป็นหลัก

25 ก.ค. 66
ยูโอบีเผยธุรกิจไทย 76% เชื่อศก.ไทยฟื้นปีนี้ มุ่งตีตลาดนอก จีนเป็นหลัก

ผลสำรวจยูโอบีเผย ธุรกิจ 76% เชื่อมั่นเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวในปีนี้ 90% มุ่งขยายธุรกิจไปต่างประเทศเพื่อเพิ่มรายได้ รวมไปถึงนำเทคโนโลยีดิจิทัลใหม่ๆ และแนวคิดด้านความยั่งยืนมาพัฒนาธุรกิจและปรับภาพลักษณ์องค์กร

ข้อมูลดังกล่าวมาจาก รายงาน UOB Business Outlook Study 2023 (SME& Large Enterprises) ที่จัดทำโดยธนาคารยูโอบีเพื่อรวบรวมความคิดเห็นและวิสัยทัศน์ของผู้บริหารธุรกิจ SMEs และองค์กรใหญ่รวม 530 คน ครอบคลุม 10 กลุ่มอุตสาหกรรมในประเทศเกี่ยวกับแนวโน้มการเติบโตขององค์กรและการฟื้นฟูธุรกิจหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้คลี่คลายลง 10 อุตสาหกรรมดังกล่าว ได้แก่

  • อุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภค 
  • การผลิตและวิศวกรรม 
  • เทคโนโลยีและคมนาคม 
  • ก่อสร้าง 
  • การค้าและส่งออก 
  • พลังงาน 
  • บริการด้านคำปรึกษา (business services) 
  • บริการด้านสังคมและบุคคล (community and personal) 
  • อสังหาริมทรัพย์และการโรงแรม
  • บริการเฉพาะด้าน ( professional services)

โดยผลสำรวจพบว่าธุรกิจเอสเอ็มอีและองค์กรขนาดใหญ่มีความเชื่อมั่นว่าภาคธุรกิจกำลังเข้าสู่สภาวะฟื้นตัว และยังต้องการขยายธุรกิจไปต่างประเทศ เพิ่มขีดความสามารถด้านดิจิทัล พร้อมนำกลยุทธ์ด้านความยั่งยืนมาเป็นแนวทางในการขับเคลื่อนให้องค์กรเติบโตอย่างแข็งแกร่ง 

 

ภาคธุรกิจเชื่อมั่นผลประกอบการเติบโต

76% หรือ 3 ใน 4 ของผู้บริหารที่ตอบแบบสำรวจเชื่อมั่นว่าผลประกอบการขององค์กรในปี 2566 มีแนวโน้มสูงขึ้น ธุรกิจด้านการผลิตและวิศวกรรมมีความเชื่อมั่นสูงสุด (85%) ตามด้วยธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และการโรงแรม (80%) และธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค (79%) แนวโน้มผลประกอบการที่สูงขึ้นส่งผลให้ผู้บริหารส่วนใหญ่กว่า 74% มีความเชื่อมั่นว่าภาคธุรกิจจะกลับมาฟื้นตัวในปีนี้ 

นอกจากนี้บริษัทส่วนใหญ่มั่นใจว่ารายได้ของธุรกิจจะกลับมาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 3 ปี โดยกว่า 90% หรือ 9 ใน 10 ของธุรกิจเชื่อว่าจะเห็นกำไรกลับคืนมาภายในปี 2568  พร้อมระบุว่าเป้าหมายหลักของธุรกิจในปีนี้ คือ 

  • การมองหาฐานลูกค้าใหม่  (37%) 
  • สร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง (35%) 
  • ลดรายจ่าย (32%) 
  • หาแหล่งรายได้ใหม่ (30%)
  • นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ (29%)

uobbusinessoutlookstudy20

 

อัตราเงินเฟ้อสูงกระทบการดำเนินธุรกิจและระบบห่วงโซ่อุปทาน

ผลสำรวจพบว่าตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นมา 9 ใน 10 ของธุรกิจยังคงได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่องจากอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ภาคธุรกิจต้องแบกรับต้นทุนการดำเนินธุรกิจเพิ่ม (61%) ต้นทุนวัตถุดิบเพิ่ม (56%) และกำไรลดลง (44%) 

นอกจากนี้ ความขัดแย้งทางการเมืองโดยเฉพาะจากสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนทำให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นและส่งผลให้การบริหารห่วงโซ่อุปทานในหลายอุตสาหกรรมได้รับความเสียหาย โดยมากกว่า 2 ใน 5 ของธุรกิจพบว่าต้นทุนที่สูงขึ้นจากอัตราเงินเฟ้อทำให้การบริหารระบบห่วงโซ่อุปทานประสบปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบ และสำรองวัตถุดิบที่จะมาใช้ในการดำเนินธุรกิจ 

อย่างไรก็ดี ธุรกิจส่วนใหญ่เชื่อว่าอัตราเงินเฟ้อจะลดลงภายใน 6 เดือน ถึง 2 ปี สอดคล้องกับการประเมินภาวะเศรษฐกิจของธนาคารยูโอบีที่มองว่าอัตราเงินเฟ้อของประเทศไทยได้ขึ้นไปแตะที่จุดสูงสุดแล้วและได้ทยอยปรับระดับลงมาตั้งแต่ช่วงปลายปี 2565 จากราคาพลังงานที่ปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับระบบห่วงโซ่อุปทานโลกปรับตัวไปในทางที่ดีขึ้น 

 

มองหาโอกาสการขยายธุรกิจไปต่างประเทศ 

ผลสำรวจพบว่าผู้บริหารจำนวนถึง 9 ใน 10 ให้ความสนใจกับการมองหาโอกาสขยายธุรกิจไปต่างประเทศภายในอีก 3 ปีข้างหน้า โดยเหตุผลหลัก คือ 1. เพื่อเพิ่มรายได้ 2. แสวงหากำไร และ 3. สร้างภาพลักษณ์ระดับนานาชาติให้แก่องค์กรในตลาดใหม่ 

โดยผลสำรวจพบว่าองค์กรขนาดใหญ่ เช่น ธุรกิจค้าส่งและส่งออก (96%) ต้องการขยายธุรกิจในต่างประเทศมากที่สุด มากกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาคเอเชีย (89%) และของอาเซียน (83%) สิงคโปร์ เวียดนาม และมาเลเซีย รวมถึงจีนเป็นจุดหมายหลักที่ธุรกิจต้องการขยายตลาด และกว่า 1 ใน 3 สนใจจะขยายธุรกิจไปนอกภูมิภาคเอเชีย ทั้งนี้ความท้าทายหลักที่ภาคธุรกิจเผชิญเวลาขยายธุรกิจไปต่างประเทศคือ ขาดความรู้ทางกฎหมาย กฎระเบียบ และภาษี รวมถึงขาดพันธมิตรที่สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

 uobbusinessoutlookstudy20_1

 

เดินหน้าปรับตัวเข้าสู่ยุคดิจิทัล พร้อมชูกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน 

การปรับตัวเข้าสู่ดิจิทัล และแนวคิดการทำธุรกิจอย่างยั่งยืนกำลังเป็นเทรนด์การดำเนินธุรกิจที่อยู่ในกระแสทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ผลสำรวจพบว่าบริษัทพร้อมนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการดำเนินธุรกิจ และส่งเสริมกลยุทธ์ด้านความยั่งยืนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารงาน และปรับภาพลักษณ์ขององค์กรให้ดีขึ้น 

มากกว่า 9 ใน 10 ของธุรกิจหรือ 92% นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในธุรกิจอย่างน้อย 1 หน่วยงานซึ่งมากกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาคเอเชีย (87%) และอาเซียน (86%) โดยธุรกิจที่นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้สามารถเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น และช่วยให้การบริการลูกค้าเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ธุรกิจส่วนใหญ่โดยเฉพาะผู้ประกอบการเอสเอ็มอีนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาปรับใช้ในกระบวนการธุรกิจ โดยธุรกิจประมาณ 60% มองหาคำแนะนำจากธนาคารในการนำ

เทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน และทำให้การประสานงานกับหน่วยงานภาครัฐ และเชื่อมต่อกับบุคคลที่สามเป็นไปอย่างสะดวกมากขึ้น 

ในส่วนของความสนใจเรื่องการดำเนินธุรกิจเพื่อความยั่งยืน 96% ของบริษัทใส่ใจแนวทางการดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืน ธุรกิจมองว่ากลยุทธ์ด้านความยั่งยืนจะช่วยส่งเสริมชื่อเสียงของบริษัทให้ดีขึ้น ทั้งยังสามารถดึงดูดพนักงานใหม่และนักลงทุน ผลสำรวจยังพบว่าถึงแม้กว่า 9 ใน 10 ของธุรกิจไทยได้ประกาศพันธสัญญาเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (net zero) มีเพียง 51% ที่ได้นำแนวคิดด้านความยั่งยืนมาปฎิบัติใช้อย่างจริงจัง โดยกว่า 1 ใน 3 ของธุรกิจกังวลว่าการนำแนวคิดความยั่งยืนมาปฎิบัติจะมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้นและกระทบต่อกำไรของบริษัท    

สถานการณ์โควิดที่ผ่านมาเป็นตัวเร่งให้บริษัทในประเทศไทยเดินหน้าเพิ่มขีดความสามารถด้านดิจิทัล และผนึกกลยุทธ์ด้านความยั่งยืนเพื่อรับมือต่อวิกฤตที่เข้ามา โดยยังสามารถปรับตัวให้ธุรกิจมีผลกำไรและเติบโตไปข้างหน้าท่ามกลางสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน แต่บริษัทที่ยังไม่พร้อมนำแนวคิดด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และ ธรรมาภิบาลมาใช้อาจสูญเสียโอกาสทางธุรกิจได้

uobbusinessoutlookstudy20_2

advertisement

Relate Post

SPOTLIGHT