ราคาน้ำมันโลก "ร่วงลงกลับสู่ระดับปกติ" ก่อนเริ่มสงคราม ยูเครน-รัสเซีย หลังจากมาตรการคว่ำบาตรรัสเซีย "ไม่มีการแซงชั่นน้ำมัน" เส้นเลือดหลักของเศรษฐกิจรัสเซีย
CNBC รายงานว่า ราคาน้ำมันโลกได้ร่วงลงกลับสู่ระดับก่อนที่รัสเซียจะบุกโจมตียูเครนแล้ว โดยสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ ที่เคยทะลุไปแตะระดับ 105 ดอลลาร์/บาร์เรล เมื่อวันที่ 24 ก.พ. ซึ่งเป็นการขึ้นไปแตะ 100 เหรียญครั้งแรกตั้งแต่ปี 2014 ได้ปรับตัวลดลงกลับมาอยู่ที่ 97.93 ดอลลาร์/บาร์เรล ในการปิดตลาดเมื่อคืนนี้ (25 ก.พ.) และสัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส สหรัฐ งวดส่งมอบเดือน เม.ย. ลดลงมาอยู่ที่ 91.94 ดอลลาร์/บาร์เรล
Bloomberg ระบุว่า ปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งที่ช่วยดึงราคาน้ำมันลงก็คือ การที่มาตรการคว่ำบาตรรัสเซียนั้น ไม่ได้แตะต้องเรื่อง "การส่งออกน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ" ซึ่งเป็นเส้นเลือดหลักและหัวใจทางเศรษฐกิจของรัสเซีย
เจ้าหน้าที่กระทรวงต่างประเทศสหรัฐ เปิดเผยว่า การที่รัฐบาลประธานาธิบดี โจ เบเดน ไม่คว่ำบาตรน้ำมันดิบรัสเซีย ก็เพราะไม่ต้องการสร้างความเสียหายต่อผู้บริโภคชาวอเมริกันเอง
"ถ้าเราเล่นงานปูตินไปที่น้ำมันและก๊าซ ราคาน้ำมันก็จะพุ่งสูงขึ้นทันที การคว่ำบาตรอาจจะทำให้รัสเซียขายน้ำมันและก๊าซในปริมาณลดลงครึ่งหนึ่ง แต่ราคาอาจจะพุ่งขึ้นเท่าตัว ซึ่งหมายความว่าเขาจะไม่ได้รับผลกระทบ แต่ตรงกันข้าม สหรัฐและพันธมิตรจะเป็นฝ่ายที่ต้องแบกรับผลกระทบแทน" เอมอส ฮอชสตีน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงพลังงานอาวุโส กล่าวกับบลูมเบิร์ก
ทั้งนี้ การที่รัสเซียเป็นผู้ผลิตและส่งออกน้ำมันรายใหญ่ 1 ใน 10 ของโลกเสมอมา ทำให้การจะหาน้ำมันทดแทนส่วนที่ขาดไปจากรัสเซียไม่ใช่เรื่องง่าย ซึ่งโดยปกติแล้วก็จะมี 2 แหล่งหลักๆ ที่พอจะช่วยทดแทนได้ก็คือ
- กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ (Opec) แต่จนถึงปัจจุบัน ก็ยังไม่มีการส่งสัญญาณจากฝั่งโอเปกว่าจะช่วยเพิ่มการผลิตเพื่อทดแทนให้ได้
- อุตสาหกรรมน้ำมันจากหินน้ำมัน หรือ เชลล์ออยล์ (Shale Oil) ซึ่งผลิตน้ำมันให้สหรัฐในสัดส่วนถึง 65% ของการผลิตน้ำมันทั้งหมดในประเทศ แต่สัญญาณล่าสุดในช่วงกลางเดือน ก.พ. ก็ยังไม่พบว่าเชลล์ออยล์ในสหรัฐ จะสามารถเพิ่มกำลังการผลิตจำนวนมากเพื่อมาช่วยทดแทนได้ เช่นกัน