
ต้องยอมรับว่าเศรษฐกิจไทยกำลังเดินเข้าสู่ปี 2569 ด้วยบรรยากาศที่ไม่ค่อยสดใสนัก เมื่อแทบทุกสำนักเศรษฐกิจ ทั้งหน่วยงานรัฐ องค์กรระหว่างประเทศ และศูนย์วิจัยเอกชน มองไปในทิศทางเดียวกันว่า ปีหน้าจะ “แย่กว่าปี 2568” อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ตัวเลขคาดการณ์เศรษฐกิจเรียงหน้ากระดานกันอยู่เพียงราว 1.5-2% ต่ำกว่าปีนี้ที่ยังพอไปได้แถว 2–2.2% สะท้อนชัดว่าเศรษฐกิจไทยไม่ได้แค่ชะลอลงเล็กน้อย แต่กำลังเข้าสู่ช่วงที่แรงส่งเริ่มหมดพร้อมกันหลายด้าน และโอกาสในการขยายตัวเริ่มแคบลงเรื่อย ๆ
ที่น่าหนักใจกว่านั้นคือ ปี 2569 ไม่ได้เป็นภาพของ “ฟ้าใหม่” ที่จะช่วยพลิกเกมเศรษฐกิจได้ง่าย ๆ เครื่องยนต์เก่าที่เคยพาเศรษฐกิจเดินหน้าเริ่มอ่อนแรง ขณะที่เครื่องยนต์ใหม่ก็ยังไม่ติด ภาคการผลิตเจอแรงกดดันจากเศรษฐกิจโลกและการแข่งขันที่ดุเดือด การบริโภคในประเทศชะลอตามรายได้และหนี้ครัวเรือนที่ยังสูง ส่วนการท่องเที่ยวซึ่งเคยเป็นพระเอกก็เริ่มกลับสู่จังหวะปกติเร็วกว่าที่คิด ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางการเมืองและพื้นที่นโยบายที่จำกัด ภาพรวมจึงชี้ว่าเศรษฐกิจไทยปีหน้าจะไม่ใช่แค่ “โตต่ำ” แต่กำลังเผชิญคำถามสำคัญว่าจะประคองตัวอย่างไร ไม่ให้การเติบโตต่ำกว่า 2% กลายเป็นเรื่องชินตาในระยะยาว
การคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 2569 จากหน่วยงานเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศ ชี้ไปในทิศทางเดียวกันอย่างชัดเจนว่าเศรษฐกิจไทยจะชะลอลงจากปี 2568 โดยตัวเลขประมาณการกระจุกตัวอยู่ในกรอบแคบที่ราว 1.5-2% ลดลงจากประมาณ 2-2.2% ในปีนี้ ภาพดังกล่าวสะท้อนฉันทามติว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2569 จะเป็นปีที่ต้องประคองตัว เผชิญแรงกดดันหลายด้าน และมีพื้นที่ให้ขยายตัวอย่างจำกัด
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เป็นหนึ่งในสำนักที่มองภาพเศรษฐกิจปี 2569 อย่างระมัดระวังที่สุด โดยในรายงานประมาณการเศรษฐกิจ ณ ช่วงปลายปี 2568 ธปท.ประเมินว่า GDP ไทยในปี 2569 จะขยายตัวเพียงประมาณ 1.5% ลดลงจากปี 2568 ที่คาดว่าจะเติบโตได้ราว 2.0-2.2%
รายงานผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน ครั้งที่ 6/2568 ชี้ว่า เศรษฐกิจในปี 2569 มีแนวโน้มฟื้นตัวแต่ยังต่ำกว่าศักยภาพ และขยายตัวต่ำลงจากปีนี้ตามการบริโภคภาคเอกชนที่ชะลอลงตามรายได้ และการส่งออกสินค้าที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการทางภาษีของสหรัฐฯ ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวทยอยฟื้นตัว โดยมีแรงขับเคลื่อนหลักจากการฟื้นตัวของภาคบริการ ขณะที่การส่งออกสินค้าและภาคการผลิตยังถูกกดดันจากการแข่งขันที่สูง ในระยะข้างหน้า ต้องติดตามความเสี่ยงจากมาตรการทางภาษีของสหรัฐฯ ที่อาจมีเพิ่มเติม ความล่าช้าของกระบวนการงบประมาณปี 2570 และการปรับตัวของภาคธุรกิจโดยเฉพาะ SMEs ที่ยังเผชิญปัญหาด้านการแข่งขันและการเข้าถึงสินเชื่อ คณะกรรมการฯ เห็นว่าเศรษฐกิจไทยที่ขยายตัวต่ำส่วนหนึ่งเป็นผลจากปัจจัยเชิงโครงสร้าง จึงจำเป็นต้องผสมผสานนโยบายหลายด้านเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจ
ในทิศทางเดียวกัน กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยปี 2569 จะเติบโตประมาณ 1.6% ลดลงจากราว 2.1% ในปี 2568 โดยปัจจัยกดดันหลักมาจากการส่งออกที่อ่อนตัว หลังการเร่งส่งออกล่วงหน้าในช่วงก่อนหน้าเริ่มหมดแรง ประกอบกับอุปสงค์จากสหรัฐฯ ที่ชะลอลงและผลกระทบจากมาตรการภาษีที่สูงขึ้น ภาวะการเงินที่ตึงตัวยังซ้ำเติมอุปสงค์ภายใน ขณะที่เงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับต่ำมาก โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยคาดว่าจะติดลบในปี 2568 ก่อนขยับขึ้นเพียงเล็กน้อยในปี 2569
นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนยังอยู่ในระดับสูงและความเสี่ยงเอนเอียงไปทางด้านลบ ทั้งจากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าโลก ความผันผวนของตลาดการเงินระหว่างประเทศ และความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ รวมถึงความไม่แน่นอนทางการเมืองภายในประเทศ ซึ่งล้วนมีแนวโน้มบั่นทอนความเชื่อมั่นและการเติบโต อย่างไรก็ดี ในด้านบวก หากความขัดแย้งทางการค้าโลกคลี่คลายเร็ว เศรษฐกิจประเทศคู่ค้าฟื้นตัวดีกว่าคาด และสถานการณ์การเมืองในประเทศมีความชัดเจนมากขึ้น ก็อาจช่วยหนุนการเติบโตและแนวโน้มเงินเฟ้อได้
ในระยะถัดไป IMF เน้นย้ำความจำเป็นของการเดินหน้าลดหนี้ครัวเรือนอย่างเป็นระบบ การปรับโครงสร้างหนี้รายย่อย และการขยายการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของ SME ควบคู่กับการปฏิรูปเชิงโครงสร้างเพื่อยกระดับผลิตภาพแรงงาน เพิ่มความซับซ้อนของการส่งออก เสริมระบบคุ้มครองทางสังคม ธรรมาภิบาล และความสามารถในการรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งและศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในระยะยาว
ธนาคารโลก (World Bank) มีมุมมองใกล้เคียงกัน โดยคาดว่า GDP ไทยในปี 2569 จะขยายตัวราว 1.7% ลดลงจากปี 2568 ที่อยู่ประมาณ 1.8% ธนาคารโลกให้น้ำหนักกับความเสี่ยงด้านการลงทุนภาคเอกชนที่ยังไม่กลับมาอย่างยั่งยืน รวมถึงการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวที่ยังไม่เต็มศักยภาพ โดยเฉพาะตลาดนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งถูกมองว่าเป็นตัวแปรสำคัญต่อรายได้ภาคบริการและการจ้างงานในประเทศ ธนาคารโลกยังตั้งข้อสังเกตถึงความไม่แน่นอนทางการเมืองและการเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐ ซึ่งอาจกระทบความเชื่อมั่นของนักลงทุนในระยะต่อไป
ด้านธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) ในรายงาน Asian Development Outlook ประเมินเศรษฐกิจไทยปี 2569 เติบโตประมาณ 1.6% จากราว 2.0% ในปี 2568 โดยระบุว่าเศรษฐกิจไทยจะอ่อนแรงลงจากหลายปัจจัยกดดัน ทั้งการส่งออกที่ชะลอตัว การฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ล่าช้า และแรงส่งจากอุปสงค์ภายในประเทศที่อ่อนลง
ในด้านต่างประเทศ ภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ในระดับสูงจะถ่วงการส่งออกไทย โดยเฉพาะอุตสาหกรรมหลัก เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องจักร โลหะ อาหารแปรรูป และยานยนต์ ขณะเดียวกัน ภาคการท่องเที่ยวยังเผชิญแรงกดดันจากการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวที่ต่ำกว่าคาด โดยเฉพาะตลาดจีน รวมถึงการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจากประเทศอื่นในภูมิภาค ซึ่งเร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและใช้กลยุทธ์ด้านราคาเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว
ด้านอุปสงค์ในประเทศ แนวโน้มการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนยังเปราะบาง จากรายได้ที่ชะลอตัว ความเชื่อมั่นที่อ่อนแรง และภาระหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง แม้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐอาจช่วยพยุงกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้บางส่วน แต่ผลกระทบเชิงบวกอาจถูกจำกัดด้วยความไม่แน่นอนทางการเมือง และการฟื้นตัวของภาคบริการที่ยังล่าช้า
ฝั่งศูนย์วิจัยเอกชนไทย ภาพรวมไม่แตกต่างจากองค์กรระหว่างประเทศมากนัก SCB EIC ประเมิน GDP ไทยปี 2569 ไว้เพียง 1.5% ลดลงจากราว 2% ในปี 2569 และถือเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 30 ปีที่เศรษฐกิจเติบโตต่ำกว่า 2% โดยไม่เกิดวิกฤตใหญ่ สะท้อนว่าความอ่อนแรงครั้งนี้ไม่ได้มาจากปัจจัยชั่วคราว แต่เกิดจากข้อจำกัดเชิงโครงสร้างที่กดทับศักยภาพการเติบโตของประเทศ
แรงกดดันหลักมาจากเศรษฐกิจภายนอกและอุปสงค์ในประเทศ การส่งออกปี 2026 คาดว่าจะหดตัวราว 1.5% จากผลสงครามการค้า การแข่งขันที่รุนแรง ฐานสูงในปีก่อน และการส่งออกทองคำที่ลดลง ขณะที่การท่องเที่ยวฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป นักท่องเที่ยวเพิ่มเป็นประมาณ 34.1 ล้านคน ยังต่ำกว่าระดับก่อนโควิดที่ 40 ล้านคน ด้านกำลังซื้อครัวเรือนยังตึงตัวจากรายได้และการจ้างงานที่อ่อนแอ โดยเฉพาะกลุ่มจบใหม่ ภาระหนี้สูง และการเข้าสู่ช่วงลดหนี้ ทำให้การบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนซบเซาต่อเนื่อง
ภาคการลงทุนยังอ่อนแรง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเดิมและอสังหาริมทรัพย์ แม้การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในกลุ่ม New S-Curve เช่น Digital, EV และ Electronics จะยังขยายตัวได้ราว 1.9% แต่ผลบวกต่อเศรษฐกิจระยะสั้นจำกัดจากสัดส่วนการนำเข้าสูง ขณะที่ภาครัฐมีข้อจำกัดด้านการคลัง ทำให้แรงกระตุ้นมีจำกัด ด้านนโยบายการเงิน SCB EIC มองว่า กนง. มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในช่วงครึ่งแรกของปี เพื่อช่วยลดต้นทุนทางการเงินและประคับประคองเศรษฐกิจ มากกว่าการกระตุ้นอุปสงค์โดยตรง
SCB EIC เน้นว่าความเสี่ยงสำคัญยังอยู่ด้านขาลง ทั้งการปะทุของสงครามการค้า ความไม่แน่นอนทางการเมือง คุณภาพสินเชื่อ และความเสี่ยงเงินฝืดจากเงินเฟ้อที่คาดว่าจะอยู่เพียงราว 0.2% ในปี 2026 ภายใต้บริบทเศรษฐกิจโลกที่ชะลอลง แม้เทคโนโลยี AI จะยังเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของโลกก็ตาม โดยบทสรุปคือ นโยบายระยะสั้นอาจช่วยพยุงเศรษฐกิจได้จำกัด หากไม่เร่งปฏิรูปเชิงโครงสร้าง การเติบโตต่ำกว่า 2% อาจกลายเป็นสภาพปกติใหม่ของเศรษฐกิจไทยในระยะถัดไป
ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยและ ttb analytics ให้ตัวเลขใกล้เคียงกันที่ราว 1.6% โดยเน้นความเปราะบางของครัวเรือน ภาระหนี้ และแรงส่งจากภาคการผลิตที่เริ่มอ่อนแรง โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า ในปี 2568 การส่งออกสินค้าซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนหลักมีแนวโน้มหดตัว จากอุปสงค์โลกที่อ่อนแรงลงและผลกระทบจากมาตรการกีดกันทางการค้า ทำให้แรงส่งต่อภาคการผลิตและการจ้างงานลดลง ขณะที่ภาคท่องเที่ยวแม้ยังฟื้นตัว แต่ยังไม่กลับสู่ระดับก่อนโควิด จึงช่วยพยุงเศรษฐกิจได้จำกัด
ด้านอุปสงค์ในประเทศ การบริโภคภาคครัวเรือนยังเป็นแรงประคองหลัก แต่มีแนวโน้มชะลอลงตามรายได้ที่ฟื้นตัวไม่ทั่วถึง ภาระหนี้ที่ยังสูง และแรงหนุนจากการใช้จ่ายและมาตรการกระตุ้นของภาครัฐที่ลดลงจากข้อจำกัดทางการคลัง ภาคการลงทุนยังอ่อนแรง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเดิมและอสังหาริมทรัพย์ สะท้อนผ่านดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) ที่เสี่ยงหดตัวต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 จากคำสั่งซื้อที่ชะลอและการแข่งขันกับสินค้านำเข้า
นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนทางการเมือง โดยเฉพาะช่วงหลังการเลือกตั้ง ยังเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อความเชื่อมั่นและการตัดสินใจลงทุนของภาคเอกชน ภาพรวมสะท้อนว่าเศรษฐกิจไทยปี 2569 จะขยายตัวต่ำกว่าศักยภาพ ท่ามกลางแรงกดดันรอบด้าน และยังต้องพึ่งพานโยบายการเงินและการปรับตัวของภาคธุรกิจมากกว่าการกระตุ้นจากภาครัฐที่มีข้อจำกัดมากขึ้น
ในกลุ่มที่มองบวกกว่าเล็กน้อย วิจัยกรุงศรีและกรอบประมาณการของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน (กกร.) ยังคงให้ช่วงการเติบโตปี 2569 สูงกว่าสำนักอื่น โดยอยู่ราว 1.8-2.0% สะท้อนความหวังว่าภาคบริการ การท่องเที่ยว และการใช้จ่ายบางส่วนของรัฐอาจช่วยพยุงเศรษฐกิจได้ อย่างไรก็ดี แม้ในมุมมองที่ดีที่สุด ตัวเลขดังกล่าวก็ยังต่ำกว่าปี 2568 อย่างมีนัยสำคัญ และต่ำกว่าศักยภาพการเติบโตในระยะยาวของเศรษฐกิจไทย
ด้านคาดการณ์จากหน่วยงานด้านเศรษฐกิจของรัฐบาล สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) ระบุว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2569 มีแนวโน้มขยายตัวในช่วงร้อยละ 1.2-2.2 (ค่ากลางการประมาณการ ร้อยละ 1.7) โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวต่อเนื่องของการอุปโภคบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน แรงขับเคลื่อนจากการใช้จ่ายภาครัฐบาล การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว และการเพิ่มขึ้นของผลผลิตทาง การเกษตร
อย่างไรก็ตาม การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยยังมีข้อจำกัดและปัจจัยเสี่ยงจากมาตรการกีดกันทาง การค้าของสหรัฐฯ การชะลอตัวของเศรษฐกิจและการค้าโลก และภาระหนี้สินภาคเอกชนที่ยังอยู่ในเกณฑ์สูง รวมทั้งความผันผวนของระบบเศรษฐกิจและการเงินโลก และบรรยากาศทางเศรษฐกิจและการเมืองในช่วงก่อน และหลังการเลือกตั้ง
โดยในกรณีฐาน คาดว่าการอุปโภคบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนจะขยายตัวร้อยละ 2.1 และร้อยละ 0.9 ตามลำดับ ขณะที่มูลค่าการส่งออกในรูปดอลลาร์ สรอ. ลดลงร้อยละ 0.3 อัตราเงินเฟ้อ เฉลี่ยอยู่ในช่วงร้อยละ 0.0-1.0 และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ 2.4 ของ GDP รายละเอียดของการประมาณการเศรษฐกิจในปี 2569 ในด้านต่าง ๆ มีดังนี้
1. การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภค ประกอบด้วย (1) การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภค ภาคเอกชน คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 2.1 ต่อเนื่องจากร้อยละ 2.8 ในปี 2568 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจาก การฟื้นตัวของการใช้จ่ายในหมวดสินค้าคงทนและภาคบริการ สอดคล้องกับการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม การบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มชะลอลงจากฐานการบริโภคในปี 2568 ที่ส่วนหนึ่งได้รับปัจจัย สนับสนุนจากมาตรการภาครัฐ ประกอบกับผลของฐานรายได้ของภาคครัวเรือนทั้งภาคเกษตรและ นอกภาคเกษตรมีแนวโน้มขยายตัวอย่างช้าๆ และ (2) การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคภาครัฐบาล คาดว่าจะ ขยายตัวร้อยละ 1.2 เร่งขึ้นจากร้อยละ 0.3 ตามการเพิ่มขึ้นของกรอบงบประมาณรายจ่ายประจำทั้งในส่วนของ งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 และงบประมาณรายจ่ายเหลื่อมปี
2. การลงทุนรวม คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 1.4 ชะลอลงจากร้อยละ 3.3 โดย (1) การลงทุน ภาคเอกชน คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 0.9 ชะลอลงจากร้อยละ 2.0 สอดคล้องกับแนวโน้มการส่งออกสินค้า และการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากมาตรการกีดกันทางการค้าของประเทศ เศรษฐกิจหลัก และ (2) การลงทุนภาครัฐ คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 2.9 ชะลอลงจากร้อยละ 6.8 สอดคล้อง กับกรอบงบประมาณรายจ่ายลงทุนในปีงบประมาณ 2569 ที่ขยายตัวร้อยละ 18.2 ชะลอลงจากร้อยละ 39.0 ในปีงบประมาณก่อนหน้า เช่นเดียวกับงบรายจ่ายลงทุนของรัฐวิสาหกิจที่ปรับตัวลดลงร้อยละ 6.6 เทียบกับ การการลดลงร้อยละ 3.9 ในปีก่อนหน้า
3. มูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปดอลลาร์ สรอ. คาดว่าจะลดลงร้อยละ 0.3 เทียบกับการขยายตัว ในเกณฑ์สูงร้อยละ 11.2 ในปี 2568 สอดคล้องกับแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลก ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการกีดกันทางการค้า ขณะที่การส่งออกบริการมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น โดยคาดว่า รายรับจากนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2569 จะอยู่ที่ 1.65 ล้านล้านบาท เทียบกับ 1.52 ล้านล้านบาทในปี 2568 ส่งผลให้ปริมาณการส่งออกสินค้าและบริการในปี 2569 มีแนวโน้มที่จะขยายตัวร้อยละ 1.1 ชะลอลงจากร้อย ละ 8.8 ในปีก่อนหน้า
ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ และหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์เศรษฐกิจและการลงทุน กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2569 จะยังอยู่ในภาวะ “น่าเป็นห่วง” และมีทิศทางอ่อนแรงต่อเนื่องจากปี 2568 จากการสั่งสมของปัญหาเชิงโครงสร้างที่ดำเนินมานาน และเริ่มปะทุขึ้นพร้อมกันในหลายมิติ โดยเฉพาะเครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจไทย ไม่ว่าจะเป็นภาคการผลิต การบริโภคภายในประเทศ และการท่องเที่ยว ซึ่งกำลังส่งสัญญาณอ่อนแรงลงพร้อมกันอย่างเห็นได้ชัด
ดร.พิพัฒน์นิยามภาพเศรษฐกิจไทยในระยะนี้ว่าเป็นช่วงเวลา “บุญเก่าอ่อนแรง บุญใหม่ยังไม่มา” สะท้อนภาพว่ากลไกเศรษฐกิจชุดเดิมที่เคยขับเคลื่อนการเติบโต ไม่สามารถทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพเช่นเดิม ขณะที่เครื่องยนต์ใหม่ที่ควรเข้ามาทดแทน ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง การลงทุนขนาดใหญ่ หรือภาคบริการมูลค่าสูง ยังไม่เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมและเพียงพอ
ขณะเดียวกัน ตัวเลขคาดการณ์จากหลายหน่วยงานสำคัญยังสะท้อนภาพเดียวกันอย่างชัดเจน ทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กระทรวงการคลัง รวมถึงกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร ต่างประเมินกรอบอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยในปี 2569 ไว้ใกล้เคียงกันที่ประมาณ 1.6-1.8% ซึ่งต่ำกว่าการคาดการณ์ GDP ปี 2568 ที่อยู่ราว 2% ภาพดังกล่าวชี้ว่าเศรษฐกิจไทยไม่ได้อยู่ในภาวะ “โตต่ำ” เท่านั้น แต่กำลังเข้าสู่ช่วง “โตช้าลงอีก” ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนว่าหากยังไม่มีการเร่งปรับโครงสร้างเศรษฐกิจอย่างจริงจัง ประเทศอาจเผชิญภาวะการเติบโตต่ำเรื้อรังในระยะยาว
ในมิติศักยภาพการเติบโตระยะยาว ดร.พิพัฒน์ย้ำว่า ภาพเศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัวไม่ใช่ปรากฏการณ์ใหม่ แต่เป็นความจริงที่สะสมมาอย่างต่อเนื่องหลายทศวรรษ อัตราการเติบโตของไทยเคยอยู่ในระดับ 7% ก่อนจะลดลงเหลือ 5% ต่อมาลดลงมาอยู่แถว 3% และในระยะหลังไหลลงสู่ระดับใกล้ 2% สะท้อนว่าไทยกำลัง “โตช้าลงเมื่อเทียบกับตัวเองในอดีต” อย่างชัดเจนและต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือ ไทยไม่ได้โตช้าลงเพียงเมื่อเทียบกับอดีตของตัวเอง แต่กำลังเติบโตช้ากว่าเพื่อนร่วมภูมิภาค ดร.พิพัฒน์ยกกราฟความสัมพันธ์ระหว่างรายได้ต่อหัว (GDP per capita) กับอัตราการเติบโตมาอธิบายว่า โดยปกติประเทศที่มีรายได้สูงขึ้นจะมีอัตราการเติบโตที่ชะลอลงเป็นธรรมชาติ แต่กรณีของไทยกลับสวนทางกับทฤษฎีพื้นฐานนี้
ปัจจุบันไทยมีรายได้ต่อหัวราว 7,000 ดอลลาร์ต่อคนต่อปี ขณะที่สิงคโปร์มีมากกว่า 80,000 ดอลลาร์ต่อคนต่อปี ซึ่งสูงกว่าไทยกว่า 10 เท่า ตามหลักปกติ สิงคโปร์ควรจะเติบโตช้ากว่าไทย แต่ข้อมูลในช่วงสามปีที่ผ่านมาแสดงให้เห็นภาพตรงข้าม โดยสิงคโปร์เติบโตเฉลี่ยราว 4% ต่อปี ในขณะที่ไทยขยายตัวเพียงราว 2% เท่านั้น
นั่นหมายความว่า ประเทศที่ร่ำรวยกว่าไทยถึงสิบเท่า กลับมีอัตราการเติบโตเร็วกว่าถึงสองเท่า ส่งผลให้ช่องว่างด้านความมั่งคั่งยิ่งถ่างกว้างออกไปอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน มาเลเซียซึ่งมีรายได้ต่อหัวราว 14,000 ดอลลาร์ต่อคนต่อปี ก็ยังรักษาอัตราการเติบโตใกล้ 4% และยืนอยู่ “เหนือไทย” อย่างชัดเจนในเกณฑ์เปรียบเทียบด้านศักยภาพการเติบโต
ด้านประเทศที่ในอดีตเคยอยู่ “ข้างหลัง” ไทย อย่างเวียดนาม อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ต่างเร่งความเร็วทางเศรษฐกิจอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะฟิลิปปินส์ที่เมื่อราวปี 2558 ยังถูกขนานนามว่าเป็น “คนป่วยของเอเชีย” แต่ในปัจจุบันกลับมีอัตราการเติบโตที่ดีขึ้นต่อเนื่อง พร้อมกับระดับรายได้ต่อหัวที่ขยับสูงขึ้นอย่างสม่ำเสมอ
เมื่อมองเส้นกราฟของประเทศไทยในภาพเดียวกัน แนวโน้มกลับ “ปักหัวลง” อย่างน่ากังวล หากไม่สามารถพลิกทิศทางให้กลับมา “เงยขึ้น” ได้เช่นบางประเทศ เพื่อนบ้านจะไล่ตามขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ขณะที่ประเทศที่พัฒนาแล้วก็จะยิ่งทิ้งห่างออกไปมากขึ้น
แม้ในปัจจุบันไทยยังเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของอาเซียน แต่ดร.พิพัฒน์เตือนว่า หากแนวโน้มการเติบโตยังไม่เปลี่ยนแปลง ภายในทศวรรษหน้า ไทยอาจร่วงลงไปอยู่ราวอันดับห้าของภูมิภาค
ภาพหลังวิกฤตโควิด-19 จึงเป็นหลักฐานสำคัญที่ตอกย้ำปัญหานี้ หลายประเทศสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วและเดินหน้าต่อไปได้ไกล ในขณะที่ไทยเพิ่งกลับมามีระดับ GDP เทียบเท่าปี 2562 เท่านั้น สะท้อนว่าการฟื้นตัวของไทยไม่เพียงช้า แต่ยังตามหลังประเทศอื่นอย่างมีนัยสำคัญ
ดร.พิพัฒน์ประเมินว่า เครื่องยนต์เศรษฐกิจไทยกำลังสะดุดพร้อมกันในสามด้านหลัก ซึ่งสะท้อนถึงภาวะอ่อนแรงที่ไม่ได้กระจุกอยู่เพียงภาคใดภาคหนึ่ง แต่กำลังกระจายตัวไปทั่วทั้งระบบ
ด้านแรกคือภาคการผลิต แม้ตัวเลขการส่งออกจะยังดูแข็งแรง โดยหากไม่รวมทองคำ มูลค่าการส่งออกขยายตัวสูงถึงราว 13% และการส่งออกไปสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นเกือบ 30% แต่ในทางกลับกัน การผลิตภาคอุตสาหกรรมในประเทศล่าสุดกลับขยายตัวเพียงประมาณ 1% เท่านั้น ภาพดังกล่าวสะท้อนถึงภาวะ “disconnect” ระหว่างการส่งออกกับการผลิตจริงในประเทศ ซึ่งอาจเกิดจากการที่ไทยเป็นเพียงทางผ่านของสินค้า การเปลี่ยนเส้นทางการค้า (Re-routing) ซึ่งหมายถึงการนำเข้าชิ้นส่วนมาประกอบในประเทศแล้วส่งออก หรือการส่งออกสินค้าที่สร้างมูลค่าเพิ่มในประเทศต่ำ ขณะเดียวกัน หลายอุตสาหกรรมยังเผชิญการแข่งขันที่รุนแรง ต้นทุนการผลิตสูง และปัญหาทักษะแรงงานไม่สอดคล้องกับความต้องการ
ด้านที่สองคือภาคการท่องเที่ยว ซึ่งจากที่เคยเป็น “พระเอก” ของเศรษฐกิจไทยตลอดช่วงสองปีที่ผ่านมา วันนี้กำลังกลับเข้าสู่ภาวะปกติ เกือบทุกประเทศต้นทางฟื้นกลับสู่ระดับก่อนโควิดแล้ว ยกเว้นตลาดจีน ซึ่งก่อนเกิดโรคระบาดเคยมีนักท่องเที่ยวมากกว่า 11 ล้านคนต่อปี แต่ในปีที่แล้วเหลือเพียงราว 6.7 ล้านคน และปีนี้ลดลงมาเหลือประมาณ 4.6 ล้านคน
ดร. พิพัฒน์มองว่า หากการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวจีนยังเป็นไปอย่างเชื่องช้า ภาพรวมการท่องเที่ยวไทยก็จะขยายตัวได้อย่างจำกัด และไม่สามารถทำหน้าที่เป็นเครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจเพียงลำพังได้เหมือนในอดีต และในอนาคตการท่องเที่ยวจะกลายเป็นแค่ "ฐานค้ำยัน" เศรษฐกิจ แต่จะไม่ใช่ "เครื่องยนต์เทอร์โบ" ที่จะดันให้ไทยโตได้แบบก้าวกระโดดอีกต่อไป
ด้านที่สามคือภาคการเงิน ซึ่งกำลังส่งสัญญาณตึงตัวอย่างต่อเนื่อง สินเชื่อในระบบธนาคารพาณิชย์หดตัวติดต่อกันเป็นไตรมาสที่ห้า ขณะที่สินเชื่อเอสเอ็มอีติดลบยาวถึง 13 ไตรมาส เกิดเป็น “วงจรลบ” เมื่อเศรษฐกิจอ่อนแรง ธนาคารระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น และเมื่อสินเชื่อไม่ขยายตัว ภาคธุรกิจและครัวเรือนก็ชะลอการลงทุนและการใช้จ่าย ส่งผลให้เศรษฐกิจยิ่งชะลอลงเป็นลูกโซ่
ในระยะยาว อีกหนึ่งโจทย์ใหญ่คือโครงสร้างประชากรที่กำลังเปลี่ยนไป เพราะจำนวนประชากรวัยทำงานลดลง หมายถึงกำลังซื้อในประเทศที่หดตัว ยอดขายบ้านและรถยนต์ที่ชะลอลงจึงไม่ใช่แค่ผลของเศรษฐกิจระยะสั้น แต่สะท้อนว่าฐานผู้บริโภคในประเทศกำลังเล็กลง ซึ่งจะส่งแรงกระเพื่อมต่อภาคธุรกิจในวงกว้าง
ด้านนโยบายการคลัง ดร.พิพัฒน์ระบุว่า พื้นที่ในการกระตุ้นเศรษฐกิจไทยเริ่มจำกัดมากขึ้น เนื่องจากหนี้สาธารณะกำลังเข้าใกล้ระดับ 70% ของ GDP และกรอบวินัยการคลังกำหนดให้รายจ่ายภาครัฐเติบโตได้ต่ำกว่า 1% ต่อปี ขณะที่รายได้ภาครัฐจำเป็นต้องเพิ่มผ่านการขยายฐานภาษี หากไม่เร่งดำเนินการทั้งสองด้าน หนี้สาธารณะมีความเสี่ยงทะลุกรอบได้ไม่ยาก และแม้ทำได้ตามแผนทั้งหมด ในปี 2571 สัดส่วนหนี้สาธารณะก็ยังคงอยู่ที่ราว 68.7% ซึ่งสะท้อนว่าพื้นที่สำหรับความผิดพลาดในการดำเนินนโยบายของรัฐบาลแทบไม่มีเหลือ